แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจต่างไม่รู้เห็นขณะจำเลยครอบครองกัญชา จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งจำต้องมีพยานหลักฐานอื่นมาประกอบให้หนักแน่นมั่นคง การที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน แต่ข้อความในบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาปรากฏว่าจำเลยให้การภาคเสธ โดยรับว่าจำหน่ายกัญชาเท่านั้น ไม่มีข้อความใดแสดงว่าจำเลยครอบครองกัญชาทั้ง 30 ซองไว้เพื่อจำหน่าย คำรับว่าจำหน่ายกัญชาย่อมมีความหมายสมบูรณ์อยู่ในตัวว่าจำเลยได้ทำการจำหน่ายกัญชาเท่านั้น ที่โจทก์นำสืบขยายความให้รวมไปถึงการมีไว้ในครอบครองซึ่งกัญชาจำนวน 30 ซอง ที่ค้นพบในกระเป๋าเสื้อของ ส. ที่แขวนไว้ในครัวด้วยย่อมไม่เป็นธรรมแก่จำเลย เพราะจำเลยให้การไว้อย่างชัดเจนว่า กัญชาทั้ง 30 ซองนั้นเป็นของ ส. ทั้งคำให้การจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนก็มิใช่หลักฐานแสดงว่าจำเลยรับสารภาพโดยสมัครใจแต่กลับแสดงว่าจำเลยให้การปฏิเสธข้อหาของเจ้าพนักงานตำรวจตลอดมาระหว่างการตรวจค้นบ้านเจ้าพนักงานตำรวจยังมิได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมจำเลย จำเลยยังไม่อยู่ในฐานะผู้ต้องหา เจ้าพนักงานตำรวจจะนำคำพูดใด ๆของจำเลย ก่อนตกเป็นผู้ต้องหามาใช้ให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยในภายหลังย่อมเป็นการมิชอบด้วยมิใช่ข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสอบสวน เมื่อจำเลยนำสืบปฏิเสธข้อกล่าวหาของโจทก์เป็นลำดับมา พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีเพียงคำบอกเล่าของผู้จับกุมไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกซึ่งถูกแยกไปดำเนินคดีอีกสำนวนหนึ่งร่วมกันมีกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จำนวน 30 ซอง น้ำหนักรวม 27.10กรัม และจำเลยมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 4 หลอดน้ำหนักรวม 0.08 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 26, 66, 67, 76ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 26 วรรคหนึ่ง, 67, 76 วรรคสองประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 2 ปี ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงแรก 1 ปี 4 เดือน จำคุกกระทงหลัง 8 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 12 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 76 วรรคสอง (ที่ถูกมาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคสอง) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 คดีส่วนที่เกี่ยวกับฐานความผิดดังกล่าวจึงถึงที่สุด ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยกระทำผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ได้ความจากคำของร้อยตำรวจเอกจิตติ สามทอง ว่า จับกุมผู้ต้องหาได้ 6 คน โดยนายบุญส่งรับว่าเป็นเจ้าของบ้าน ขณะเดียวกันจำเลยเดินเข้ามา สิบตำรวจโทอำนวย บุญชู กระซิบบอกว่าจำเลยเป็นภริยานายบุญส่งจึงขอตรวจค้นบ้านของจำเลยโดยให้จำเลยเป็นผู้นำตรวจค้นภายในบ้านพบอุปกรณ์เสพกัญชามีเขียงไม้ 1 อัน มีดสำหรับหั่นกัญชา 1 เล่ม ไฟแช็ค 1 อัน บ้องกัญชา 1 บ้อง จึงยึดไว้เป็นของกลาง แล้วจำเลยพาสิบตำรวจโทอำนวยตรวจค้นบ้านเป็นครั้งที่สองพบกัญชาจำนวน 30 ซอง บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกขนาดเล็กซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแบบผู้ชายแขวนอยู่ภายในห้องครัว จำเลยและนายบุญส่งยอมรับต่อพันตำรวจโทเรวัชว่ากัญชาดังกล่าวเป็นของตนมีไว้เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ที่มามั่วสุม หลังจากค้นได้ของกลางจึงแจ้งข้อหาว่าจำเลยร่วมกับพวกมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยให้การรับสารภาพสิบตำรวจโทอำนวยพยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็เบิกความยืนยันในทำนองเดียวกัน ซึ่งโจทก์นำมาใช้เป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลย เห็นว่า พยานบุคคลของโจทก์ทั้งสองปากต่างไม่รู้เห็นขณะจำเลยครอบครองกัญชา เหตุที่ต้องจับกุมดำเนินคดีกับจำเลยก็เพราะจำเลยยอมรับว่าเป็นเจ้าของกัญชาจำนวนดังกล่าว พยานโจทก์จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งจำต้องมีพยานหลักฐานอื่นมาประกอบให้หนักแน่นมั่นคงโดยโจทก์นำสืบในส่วนนี้ว่า จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนแต่เมื่อพิเคราะห์บันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 และบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.3 แล้วปรากฏข้อความว่า จำเลยให้การภาคเสธ โดยรับว่าจำหน่ายกัญชาเท่านั้น ไม่มีข้อความใดที่แสดงว่าจำเลยครอบครองกัญชาทั้ง 30 ซองไว้เพื่อจำหน่าย คำรับว่าจำหน่ายกัญชาย่อมมีความหมายสมบูรณ์อยู่ในตัวว่าจำเลยได้กระทำการจำหน่ายกัญชาเท่านั้น ที่โจทก์นำสืบขยายความให้รวมไปถึงการมีไว้ในครอบครองซึ่งกัญชาจำนวน 30 ซอง ที่ค้นพบในกระเป๋าเสื้อของนายบุญส่งที่แขวนไว้ในครัวด้วยย่อมไม่เป็นธรรมแก่จำเลย เพราะจำเลยได้ให้การไว้อย่างชัดเจนในเอกสารหมาย จ.3 ว่ากัญชาทั้ง 30 ซองนั้นเป็นของนายบุญส่ง เช่นนี้ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจึงยังไม่ถูกต้อง พยานเอกสารหมาย จ.1 และ จ.3 มิใช่หลักฐานแสดงว่าจำเลยรับสารภาพโดยสมัครใจ แต่กลับแสดงว่าจำเลยให้การปฏิเสธข้อหาของเจ้าพนักงานตำรวจตลอดมา ระหว่างการตรวจค้นบ้านเจ้าพนักงานตำรวจยังมิได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมจำเลย จำเลยยังไม่อยู่ในฐานะผู้ต้องหา เจ้าพนักงานตำรวจจะนำคำพูดใด ๆ ของจำเลยก่อนตกเป็นผู้ต้องหามาใช้ให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยในภายหลัง ย่อมเป็นการมิชอบ ด้วยมิใช่ข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสอบสวน เมื่อจำเลยนำสืบปฏิเสธข้อกล่าวหาของโจทก์เป็นลำดับมา พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีเพียงคำบอกเล่าของผู้จับกุม จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในฐานความผิดดังกล่าวจึงชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน