แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
บทบัญญัติมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชสมบัติ ครบ 50 ปี พ.ศ. 2539 ให้ล้างมลทินแก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 9 มิถุนายน 2539 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับหรือซึ่งได้พ้นโทษไปโดยผลแห่งพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2539ให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ๆ มีผลเพียงให้ถือว่าผู้ต้องโทษไม่เคยถูกลงโทษจำคุกเท่านั้น มิได้มีผลถึงกับให้ถือว่าความประพฤติหรือการกระทำอันเป็นเหตุให้บุคคลนั้นถูกลงโทษจำคุกถูกลบล้างไปด้วย ศาลจึงนำข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 เคยกระทำความผิดมาก่อนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามที่ปรากฏในรายงานการสืบเสาะและพินิจ มาประกอบการใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเฮโรอีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 1 ซอง น้ำหนัก 0.506 กรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15,67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบหลอดฉีดยาพร้อมเข็มและเฮโรอีนของกลางที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 วรรคหนึ่ง (ที่ถูกมาตรา 67 ไม่ต้องระบุวรรค), 102 จำเลยที่ 1 จำคุก 2 ปี จำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี และปรับ 10,000 บาทจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 1 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี และปรับ 5,000 บาท พิเคราะห์พฤติกรรมแห่งคดีประกอบรายงานการสืบเสาะและพินิจแล้ว จำเลยที่ 1 เคยกระทำความผิดมาก่อน เห็นสมควรไม่รอการลงโทษ ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฏว่าเคยต้องโทษมาก่อนให้รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 มีกำหนด 2 ปี และกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติ โดยให้จำเลยที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ตลอดเวลาที่รอการลงโทษ และให้จำเลยที่ 2 เว้นจากการเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษหรือมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายใด ๆ และให้จำเลยที่ 2 เข้ารับการรักษาในสถานบำบัดยาเสพติดให้โทษตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร หากจำเลย (ที่ถูกจำเลยที่ 2) ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบหลอดฉีดยาพร้อมเข็ม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในปัญหาข้อกฎหมายประการแรกว่า จำเลยที่ 1 พ้นโทษในคดีตามที่ปรากฏในรายงานการสืบเสาะและพินิจ ก่อนวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี พ.ศ. 2539 มีผลใช้บังคับต้องถือว่าจำเลยไม่เคยถูกลงโทษในความผิดนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 เคยกระทำความผิดมาก่อนตามที่ปรากฏในรายงานการสืบเสาะและพินิจมาเป็นเหตุไม่รอการลงโทษ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 4 บัญญัติว่า “ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2539 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หรือซึ่งได้พ้นโทษไปโดยผลแห่งพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ 2539 โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ๆ” บทบัญญัติดังกล่าวมีผลเพียงให้ถือว่าผู้ต้องโทษไม่เคยถูกลงโทษจำคุกเท่านั้นมิได้มีผลถึงกับให้ถือว่าความประพฤติหรือการกระทำอันเป็นเหตุให้บุคคลผู้นั้นถูกลงโทษจำคุก ถูกลบล้างไปด้วย ศาลล่างทั้งสองจึงนำข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 เคยกระทำความผิดมาก่อนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามที่ปรากฏในรายงานการสืบเสาะและพินิจ มาประกอบการใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1ในคดีนี้ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน