แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกล้อมรั้วเข้าไปในเขตที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 12 ถึง 15 ตารางวา ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง แผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนของของฟ้องด้วยเมื่อพิจารณาคำฟ้องประกอบกับแผนที่สังเขปนั้นแล้วสามารถเข้าใจได้ว่า โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกโดยวิธีล้อมรั้วเข้าไปทางทิศเหนือของที่ดินของโจทก์ รวมทั้งความยาวของที่ดินทั้ง 4 ด้าน ที่จำเลยบุกรุกด้วย ฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 958จำเลยกับพวกได้ล้อมรั้วเข้ามาในเขตที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ12 ถึง 15 ตารางวา ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ขอให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ออกไปให้พ้นจากเขตที่ดินของโจทก์และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์แปลงใด โฉนดเลขที่เท่าไร ทางส่วนไหนของที่ดินมีความกว้างและยาวด้านละเท่าไร ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจำเลยสร้างรั้วขึ้นใหม่ตามแนวรั้วเดิมที่พังลงและได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว
ระหว่างการพิจารณา โจทก์ถึงแก่กรรม นางเตือนใจ อินทร์จันทร์ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ตามโฉนดเลขที่ 958 ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ไม่ได้กล่าวว่าจำเลยบุกรุกที่ดินทางทิศไหนเข้ามากี่ด้าน แต่ละด้านกว้างยาวเท่าใด เป็นเนื้อที่จำนวนเท่าไร และจำเลยกระทำการอย่างไรอันเป็นการบุกรุก ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ได้กล่าวไว้แล้วว่าจำเลยกับพวกล้อมรั้วเข้าไปในเขตที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ 12-15 ตารางวา ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องหมายเลข 2 ซึ่งถือได้ว่าแผนที่สังเขปดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องด้วย เมื่อพิจารณาคำฟ้องประกอบกับแผนที่สังเขปนั้นแล้วก็สามารถเข้าใจได้ว่า โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกโดยวิธีล้อมรั้วเข้าไปทางทิศเหนือของที่ดินของโจทก์ รวมทั้งความยาวของที่ดินทั้ง 4 ด้าน ที่จำเลยบุกรุกด้วย ฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว
พิพากษายืน