คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3882/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่าคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่แสดง โดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็น หลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นเป็นการยกถ้อยคำในกฎหมายมาอ้าง โดยมิได้บรรยายว่าสภาพแห่งข้อหาคำขอคำบังคับหรือข้ออ้างในคำฟ้อง ของโจทก์ข้อใดที่ไม่ชัดแจ้ง และไม่ชัดแจ้งอย่างไร คำให้การจำเลย จึงแสดงเหตุไม่ชัดแจ้ง ไม่มีประเด็นว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ให้ ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ก่อนโจทก์จะนำหลักทรัพย์ไปประกันตัวผู้ต้องหาโดยมิได้ระบุมูลค่าแห่งความรับผิดไว้แน่นอน เพื่อให้โจทก์ประกันผู้ต้องหาในคดีอาญาจากศาล โดยทำสัญญาไว้ว่า ถ้าผู้ต้องหาหลบหนีและนายประกันถูกปรับ จำเลยรับชดใช้ค่าปรับแทน จนครบถ้วน สัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่เป็นการเอารัดเอาเปรียบจำเลย แต่ประการใด เพราะหากโจทก์ไม่นำหลักทรัพย์ไปประกันตัวผู้ต้องหา สัญญาค้ำประกันที่ทำกันไว้ก็ไม่มีผลบังคับ ส่วนจำนวนความรับผิด ก็เป็นไปตามที่ศาลจะตีราคาประกันและสั่งปรับเมื่อผิดสัญญาประกัน ต่อไปสัญญาดังกล่าวจึงใช้บังคับได้หา ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่
สัญญาค้ำประกันดังกล่าวกำหนดว่า ‘หากข้าพเจ้าปล่อยให้จำเลยหลบหนีด้วยเหตุใด ๆ ก็ดี ถ้านายประกันถูกปรับหรือถูกริบทรัพย์ ข้าพเจ้าจะเป็นผู้รับชดใช้ค่าปรับแทนนายประกันจนครบถ้วนและจะเป็น ผู้รับไถ่ถอนหลักทรัพย์ที่จำนองประกันคืนแก่นายประกันโดยมิชักช้า’ ดังนี้เพียงแต่โจทก์ถูกศาลสั่งปรับจำเลยก็มีหน้าที่ต้องชำระค่าปรับ ไถ่ถอนหลักทรัพย์ที่ประกันคืนแก่โจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับ จำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ ไม่ต้องรอให้มีการขายทรัพย์อันเป็น หลักประกันก่อน
ค่าทนายความเป็นค่าฤชาธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจกำหนดจำนวนตามกฎหมาย และสั่งในคำพิพากษาให้ฝ่ายใดชดใช้แก่ฝ่ายใดหรือให้เป็นพับกันไปก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161,167 และตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังนี้การที่สัญญาค้ำประกันกำหนดให้จำเลยต้องชดใช้ค่าทนายความแก่โจทก์ผิดแผกแตกต่างไปจากกฎหมาย อันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงใช้บังคับมิได้ ข้อนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของที่ดินคนละแปลง จำเลยทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ทั้งสาม โดยให้โจทก์ทั้งสามร่วมกันยื่นหลักทรัพย์ดังกล่าวประกันตัวนายกิมหยูต่อศาล ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวตีราคาประกันจำนวน 100,000 บาท ในสัญญาค้ำประกันจำเลยตกลงว่าจะดูแลนายกิมหยูไมให้หลบหนีหากหลบหนีและนายประกันถูกปรับ จำเลยรับจะชดใช้ค่าปรับแทนจนครบถ้วนและจะเป็นผู้รับไถ่ถอนหลักทรัพย์คืนโจทก์โดยไม่ชักช้า เมื่อโจทก์เรียกร้องหรือมีการฟ้องร้อง จำเลยยอมเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่โจทก์ด้วย ต่อมานายกิมหยูหลบหนีศาลชั้นต้นสั่งปรับโจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 100,000 บาท และยึดที่ดินดังกล่าวเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ โจทก์ทั้งสามติดต่อให้จำเลยชำระค่าปรับแทนโจทก์หรือไถ่ถอนหลักทรัพย์ตามสัญญาหลายครั้งแต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ต้องจ้างทนายความฟ้องคดีนี้อีก 20,000 บาท ขอให้พิพากษาให้จำเลยชำระค่าปรับของศาลชั้นต้นแทนโจทก์ทั้งสามจำนวน 100,000 บาท และให้จำเลยชำระค่าจ้างทนายความแทนจำนวน 200,000 บาทให้โจทก์ทั้งสาม รวมเป็นเงิน120,000 บาท หากจำเลยไม่ยอมชำระเงินให้โจทก์ทั้งสามหรือชำระไม่ทัน จนศาลได้ขายทอดตลาดทรัพย์ของโจทก์ไป ให้จำเลยชำระเงินตามราคาที่แท้จริงของทรัพย์สินพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 120,000 บาทแก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า คดีอาญาตามฟ้องอยู่ในระหว่างการบังคับคดียึดทรัพย์สินยังไม่มีการขายทอดตลาด ไม่อาจทราบได้ว่าความเสียหายที่แท้จริงของโจทก์มีเพียงใด โจทก์ยังไม่ได้รับความเสียหาย ไม่ใช่ผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจฟ้องฟ้องโจทก์เคลือบคลุม สัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์ทั้งสามและจำเลยเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับ เพราะทำขึ้นขณะโจทก์ทั้งสามยังไม่ได้นำทรัพย์สินไปยื่นประกันตัวนายกิมหยู และเกิดก่อนที่ศาลจะอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เมื่อสัญญาค้ำประกันของศาลอันเป็นหนี้ประธานยังไม่เกิด สัญญาค้ำประกันเป็นหนี้อุปกรณ์จึงไม่มีผลบังคับ สัญญาขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาจ้างว่าความระหว่างโจทก์กับทนายความเป็นโมฆะเพราะไม่ประสงค์ผูกพันกันตามสัญญา แต่ทำขึ้นโดยเจตนาลวง เพื่ออำพรางบุคคลภายนอก ทั้งการมาฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความก็เป็นการซ้ำซ้อนเพราะโจทก์มีสิทธิขอให้ศาลกำหนดค่าทนายความแก่โจทก์อยู่แล้ว

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ให้จำเลยชำระเงินจำนวน120,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกคำขออื่น ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โจทก์มีสิทธิได้รับค่าทนายความตามหนี้ให้คำพิพากษาจากจำเลยได้อยู่แล้ว จึงไม่กำหนดค่าทนายความซึ่งจำเลยต้องชดใช้แทนให้อีก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยให้การไว้เพียงว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น เห็นว่า เป็นการยกถ้อยคำในกฎหมายมาอ้าง โดยมิได้บรรยายว่าสภาพแห่งข้อหา คำขอ คำบังคับหรือขออ้างในคำฟ้องของโจทก์ข้อใดที่ไม่ชัดแจ้ง และไม่ชัดแจ้งอย่างไร คำให้การจำเลยจึงแสดงสาเหตุไม่ชัดแจ้งไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

การที่สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.2 ทำขึ้นในลักษณะดังที่จำเลยฎีกา ไม่เป็นการเอารัดเอาเปรียบจำเลยแต่อย่างใด เพราะหากโจทก์ไม่นำหลักทรัพย์ไปประกันตัวนายกิมหยู แซ่ซือ สัญญาค้ำประกันที่ทำไว้ก็ไม่มีผลบังคับส่วนจำนวนความรับผิดก็เป็นไปตามที่ศาลจะตีราคาประกันและสั่งปรับเมื่อผิดสัญญาประกันต่อไป นอกจากนั้นสัญญาค้ำประกันหนี้ในอนาคตอันมีลักษณะทำนองเดียวกับสัญญาในคดีนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 681 วรรคสอง ก็อนุญาตให้ทำได้ สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.2จึงใช้บังคับได้ หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่าเจ้าพนักงานบังคับคดียังไม่ได้ทำการขายทอดตลาดทรัพย์ของโจทก์ ยังไม่อาจทราบได้ว่าความเสียหายของโจทก์ที่สูญเสียทรัพย์สินที่แท้จริงมีมากน้อยเพียงใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น พิเคราะห์แล้ว หนังสือค้ำประกันที่จำเลยทำไว้ต่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 2 กำหนดว่า “หากข้าพเจ้าปล่อยให้จำเลยหลบหนีด้วยเหตุใด ๆ ก็ดี ถ้านายประกันถูกปรับหรือถูกริบทรัพย์ข้าพเจ้าจะเป็นผู้รับชดใช้ค่าปรับแทนนายประกันจนครบถ้วนและจะเป็นผู้รับไถ่ถอนหลักทรัพย์ที่จำนองประกันคืนแก่นายประกันโดยมิชักช้า ดังนี้เห็นว่าเพียงแต่โจทก์ถูกศาลสั่งปรับจำเลยก็มีหน้าที่ต้องชำระค่าปรับไถ่ถอนหลักทรัพย์ที่ประกันคืนแก่โจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามได้ไม่ต้องรอให้มีการขายทรัพย์อันเป็นหลักประกันก่อน

ค่าทนายความเป็นค่าฤชาธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจกำหนดจำนวนตามกฎหมาย และสั่งในคำพิพากษาให้ฝ่ายใดชดใช้แก่ฝ่ายใดหรือให้เป็นพับกันไปก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 มาตรา 167 และตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง สัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 3 กำหนดว่า “ถ้าจำเลยหลบหนีนายประกันมีความประสงค์จะออกข่าวหน้าหนังสือพิมพ์หรือให้รางวัลนำจับและตลอดจนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่นายประกันเสียไป ข้าพเจ้าผู้ให้สัญญาจะเป็นผู้รับชดใช้ให้แก่นายประกันโดยมิชักช้าในเมื่อนายประกันเรียก และหากมีการฟ้องร้องข้าพเจ้าผู้ให้สัญญาจะยินยอมเป็นผู้รับเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้แก่นายประกันโดยมิชักช้า”ข้อความตอนท้ายเป็นการตกลงให้จำเลยต้องชดใช้ค่าทนายความแก่โจทก์ผิดแผกแตกต่างไปจากบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงใช้บังคับมิได้ ข้อนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าจ้างว่าความจำนวน 20,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยของเงินจำนวนนี้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share