คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3349/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ขอเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีชื่อเจ้ามรดก โดยอ้างต่อเจ้าพนักงานว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินนั้นและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ออกทับที่ดินของบุคคลอื่นดังนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเพราะแม้ไม่มีจำเลยหรือผู้ใดร้องขอให้เพิกถอนทางราชการก็ต้องเพิกถอนอยู่แล้วทั้งนี้เนื่องจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทออกทับที่ของบุคคลอื่นจึงไม่ถือว่าจำเลยกระทำการโดยฉ้อฉล อันเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทและค่าขาดประโยชน์ทำนาในที่ดินพิพาททั้งหมด ศาลฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และเจ้ามรดกซึ่งเป็นบุตรจำเลยทั้งสอง เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกบางส่วนศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งตามส่วนของตนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาของเจ้ามรดก จำเลยทั้งสองเป็นบิดามารดาของเจ้ามรดก ก่อนเจ้ามรดกถึงแก่กรรม ได้ร่วมกับโจทก์ปลูกเรือนอาศัยอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสอง ต่อมาโจทก์และเจ้ามรดกซื้อที่นา 1 แปลง จึงแลกเปลี่ยนที่ดินของจำเลยทั้งสองดังกล่าว ซึ่งเจ้ามรดกได้ขอออกหนังสือรับรองทำประโยชน์ที่ดินหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองได้ยักย้ายที่ดินมรดก โดยขอเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีชื่อเจ้ามรดก โดยอ้างต่อเจ้าพนักงานว่า จำเลยมีสิทธิในที่ดินนั้นและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ออกทับที่ดิน ส.ค.1 ของบุคคลอื่น เจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงมีคำสั่งเพิกถอน และจำเลยทั้งสองได้โอนมาเป็นของตนโดยทำเป็นลักษณะการซื้อขาย แล้วขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จากนั้นได้ขับไล่โจทก์และบุตรออกจากที่ดินและบ้านของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินและเรือนพิพาทกับโรงสีข้าวเป็นของโจทก์กับเจ้ามรดก และส่วนของเจ้ามรดกตกทอดแก่ทายาทตามกฎหมาย กับขอให้สั่งกำจัดมิให้จำเลยทั้งสองได้รับมรดกรวมทั้งขอให้เพิกถอนคำสั่งของนายอำเภอและเพิกถอนการซื้อขายที่ดินเสียด้วย

จำเลยทั้งสองให้การว่าที่ดินพิพาทออกทับที่ของบุคคลอื่น และได้มีการขายให้จำเลยทั้งสองจริง จำเลยทั้งสองได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาทางราชการจึงจดทะเบียนเป็นของจำเลยทั้งสองโดยถูกต้อง การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการยักย้ายมรดก

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทและเรือนเป็นของโจทก์และเจ้ามรดกส่วนของผู้ตายตกทอดแก่ทายาท จำเลยที่ 1 ที่ 2 ถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตายให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินและเพิกถอนคำสั่งของนายอำเภอ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทและเรือนอีกต่อไป ส่วนโรงสีนั้นจำเลยยังมีสิทธิอยู่ และโจทก์ไม่ได้ขอแบ่ง จึงขับไล่จำเลยและออกจากโรงสีไม่ได้

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสองยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้ไม่มีจำเลยหรือผู้ใดร้องขอให้เพิกถอน น.ส.3 ก. ที่ดินพิพาทที่ออกให้เจ้ามรดก ทางราชการก็ต้องเพิกถอนอยู่แล้ว ทั้งนี้เนื่องจาก น.ส.3 ก. ที่ดินพิพาทออกทับที่ของบุคคลอื่น จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำการโดยฉ้อฉล ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก ส่วนปัญหาเรื่องค่าเสียหายเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าโจทก์ขาดประโยชน์จากการทำนาพิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2525 ปีละ 8,000 บาท โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่อุทธรณ์ ถือว่ารับฟังเป็นยุติ โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทและค่าขาดประโยชน์ทำนาในที่ดินพิพาททั้งหมดศาลฎีกาฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และนายสำเนียงบุตรจำเลยทั้งสอง เมื่อนายสำเนียงถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของนายสำเนียงผู้ตายบางส่วน ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งส่วนของตนได้

พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์และนายสำเนียงสามีโจทก์ร่วมกัน เมื่อนายสำเนียงถึงแก่กรรมจึงตกเป็นของโจทก์กึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งที่เหลือตกเป็นส่วนได้ในฐานะโจทก์เป็นภริยาของนายสำเนียงเจ้ามรดกหนึ่งในห้าของจำเลยทั้งสองแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทตามส่วนที่โจทก์พึงได้ และให้จำเลยทั้งสองชำระค่าโจทก์ขาดประโยชน์จากการทำนาพิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2525 ปีละ 8,000 บาท จำเลยทั้งสองจัดการแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์เสร็จเรียบร้อย คำขออื่นให้ยกเสียธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share