แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดคงมีคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของ บ. และ จ. ที่กล่าวอ้างว่าจำเลยได้ร่วมกระทำผิดด้วยซึ่งเป็นเพียงคำพยานบอกเล่า แต่โจทก์ก็มีพยานหลักฐานอื่นประกอบให้เห็นว่าคำให้การชั้นสอบสวนของคนทั้งสองเป็นความจริง และมีพยานยืนยันว่าจำเลยเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับการกระทำผิดคดีนี้ด้วย พยานหลักฐานของโจทก์ประกอบกันฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกระทำผิดกับ บ. และ จ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนี้กับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๗๗๑/๒๕๒๔ ของศาลจังหวัดนครราชสีมา และพวกที่หลบหนีอีก ๑ คนได้ร่วมกันปล้นเอาทรัพย์รวมราคา ๑,๕๓๐,๐๐๐ บาท ของนายธิติชาติ หรือปิงโฮง แซ่เตียวหรือตรรศุลวัฒน์และเงินจำนวน ๒,๕๐๐ บาทของนางสุรีย์ วัฒโนภาส ผู้เสียหาย ในการปล้นทรัพย์จำเลยกับพวกได้ใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้เสียหายทั้งสองถึงแก่ความตายโดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่า ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐, ๓๔๐ ตรี ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔, ๑๕ และริบเชือกของกลาง กับให้จำเลยคืนสร้อยคอ แหวนเพชร และเงิน ๒,๕๐๐ บาท แก่ทายาทของนางสุรีย์ วัฒโนภาส และคืนเงิน ๓,๕๐๐ บาท แก่ทายาทของนายธิติชาติ ตรรศุลวัฒน์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสอง จำคุก ๑๕ ปี กระทงหนึ่ง และตามมาตรา ๒๘๙ (๗) วางโทษประหารชีวิตอีกกระทงหนึ่ง ให้ประหารชีวิตให้จำเลยร่วมกันคืนสร้อยคอหนัก ๒ บาท ๑ เส้น แหวนเพชร ๑ วง และเงินจำนวน ๒,๕๐๐ บาทแก่ทายาทของนางสุรีย์ วัฒโนภาส และเงิน ๓,๕๐๐ บาทแก่ทายาทของนายธิติชาติ หรือปิงโฮง แซ่เตียวหรือตรรศุลวัฒน์ให้ยกคำขอโจทก์ที่ให้ริบเชือกของกลางเพราะศาลได้สั่งริบในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๗๘๕/๒๕๒๖ แล้ว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า กรณีที่คนร้ายปล้นทรัพย์และฆ่านายธิติชาติและนางสุรีย์เจ้าทรัพย์ที่เขาใหญ่นี้ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายบุญเลิศ ไวยกัน และนางจันทร์เพ็ญหรือแอ๊ด อันลูกท้าว ได้ก่อน คนทั้งสองให้การรับสารภาพต่อพนังกานสอบสวนว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยจำเลยในคดีนี้ร่วมด้วย นายบุญเลิศและนางจันทร์เพ็ญได้ถูกฟ้องศาลจังหวัดนครราชสีมาพิพากษาว่าคนทั้งสองได้กระทำผิดจริง ให้จำคุกนายบุญเลิศตลอดชีวิต และจำคุกนางจันทร์เพ็ญ ๑๓ ปี ๔ เดือน ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ ๗๘๕/๒๕๒๖ ในคดีดังกล่าวนั้น แม้ในชั้นพิจารณา นายบุญเลิศและนางจันทร์เพ็ญไม่ได้ให้การรับสารภาพ แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษแล้ว คนทั้งสองหาได้อุทธรณ์ต่อไปไม่จึงน่าเชื่อว่าคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของคนทั้งสองเป็นความจริง คำให้การดังกล่าวที่กล่าวถึงจำเลยในคดีนี้ แม้จะเป็นคำของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน ก็มีเหตุน่าเชื่อว่าเป็นความจริง เพราะมีรายละเอียดว่าคนทั้งสองได้ร่วมกับจำเลยวางแผนกระทำผิดกันอย่างไร ใครทำอะไรบ้าง นอกจากนั้นข้อเท็จจริงยังฟังได้จากคำนางวนิดา อันลูกท้าว พยานโจทก์ซึ่งเป็นพี่ของนางจันทร์เพ็ญอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยด้วย นางจันทร์เพ็ญคงไม่ให้การปรักปรำจำเลยโดยไม่เป็นความจริงนางจันทร์เพ็ญนี้นางนฤมลภริยานายธิติชาติผู้ตายก็เบิกความว่ารู้จักกับนายธิติชาติมาก่อน และได้ความจากนางวรรณา แซ่คู ลูกจ้างของนายธิติชาติอีกว่า ในวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๒๔ ก่อนเกิดเหตุ ๑ วัน นางจันทร์เพ็ญได้ไปหานายธิติชาติ และวันรุ่งขึ้นนางจันทร์เพ็ญก็โทรศัพท์ไปถามว่าได้นัดให้นายธิติชาติไปพบ นายธิติชาติไปแล้วหรือยัง ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของนางจันทร์เพ็ญในเรื่องนี้อีกด้วย จึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิดด้วย โดยจำเลยให้นางจันทร์เพ็ญซึ่งอยู่กินกับจำเลยฉันภริยาเป็นคนไปชักชวนนายธิติชาติมาดังที่จำเลยให้การไว้ชั้นสอบสวนประกอบกับโจทก์มีนางนฤมลมาเบิกความว่านายธิติชาติโทรศัพท์ให้เอาเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทไปให้ และมีนายพิทยาสิงห์วิสุทธิ์ พนักงานของโรงแรมซุปเปอร์เบิกความว่าจำเลยกับพวกไปที่โรงแรมดังกล่าวในตอนเช้า แล้วจำเลยขับรถยนต์ยี่ห้อเบ็นซ์สีเขียวตองอ่อนออกไปจากโรงแรม มีคนนั่งไปในรถทั้งหมด ๖ คนเป็นหญิง ๒ คน ชาย ๔ คน กับโจทก์มีนายเนียน สว่างอารมย์ พนักงานโรงแรมเขาใหญ่เบิกความว่าในคืนวันเดียวกันนั้นเอง มีคนนั่งรถยนต์ยี่ห้อเบ็นซ์สีอ่อนไปเช่าห้องพักสำหรับคน ๖ คนด้วยคำพยานโจทก์ ๓ ปากนี้จึงสอดคล้องกับคำให้การของนายบุญเลิศและนางจันทร์เพ็ญในเรื่องนี้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายพิทยาจำได้ว่าจำเลยได้ขับรถยนต์โตโยต้าไปกับชายอีก ๒ คน ไปเช่าห้องอยู่ข้าง ๆ ห้องที่ชายคนหนึ่งกับผู้หญิง ๒ คนมาเช่าอยู่ก่อน ชายคนนี้ขับรถยนต์ยี่ห้อเบ็นซ์สีเขียวตองอ่อนไปที่โรงแรม ต่อมาจำเลยได้ขับรถยนต์ยี่ห้อเบ็นซ์คันดังกล่าวออกไป โดยมีผู้หญิง ๒ คน และชายทั้งหมด ๔ คนไปด้วยในรถคันเดียวกันซึ่งตามคำให้การของนายบุญเลิศและนางจันทร์เพ็ญนั้น ชาย ๒ คนที่ไปกับจำเลยก็คือนายบุญเลิศและนายสุพจน์ซึ่งโจทก์กล่าวในฟ้องว่าหลบหนีไปนั่นเอง และชายที่ขับรถยนต์ยี่ห้อเบ็นซ์สีเขียวตองอ่อนก็คือนายธิติชาติ ส่วนผู้หญิงที่ไปด้วย ๒ คนก็คือนางสุรีย์ซึ่งเป็นเลขานุการของนายธิติชาติและนางจันทร์เพ็ญ ศาลฎีกาเชื่อว่านายพิทยาจำจำเลยได้เพราะจำเลยไปที่โรงแรมซุปเปอร์ในเวลากลางวัน และจำเลยได้พูดคุยกับนายพิทยาหลายครั้งหลายหน ส่วนนายเนียนพยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานที่โรงแรมเขาใหญ่นั้น แม้จะจำไม่ได้ว่าชายคนที่ไปขอเช่าที่พักจะเป็นจำเลยหรือไม่ เพียงแต่ว่าส่วนสูงใกล้เคียงกันแต่พยานก็เคยให้การไว้ชั้นสอบสวนว่าชายคนที่ไปขอเช่าที่พักกับจำเลยมีลักษณะคล้ายคลึงกันดังที่ปรากฏในใบต่อคำให้การของพยานที่พนักงานสอบสวนทำขึ้นเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๕ ซึ่งโจทก์ส่งประกอบคำเบิกความของพยาน นอกจากนั้นยังปรากฏจากแบบพิมพ์ใบลงทะเบียนผู้มาพักที่โรงแรมเขาใหญ่ ซึ่งนายเนียนเบิกความว่าชายคนที่มากับรถยนต์ยี่ห้อเบ็นซ์สีอ่อนเป็นผู้เขียนและพยานยังได้จดหมายเลขทะเบียนรถสีและยี่ห้อรถไว้ด้วนนั้นว่าผู้มาพักบังกาโลหมายเลข ๑๑๓ ยานพาหนะเลข อ.๐๐๑๓ สีเทา ยี่ห้อเบ็นซ์อีกด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าหมายเลขบังกาโล ๑๑๓ ในแบบพิมพ์ใบลงทะเบียนผู้มาพักนี้ตรงกับคำให้การชั้นสอบสวนของนางจันทร์เพ็ญว่า จำเลยกับพวกพาผู้ตายทั้งสองไปพักที่โรงแรมเขาใหญ่ บังกาโลหมายเลข ๑๑๓ และรถยนต์ตามแบบพิมพ์ใบลงทะเบียนผู้มาพักก็เป็นรถยี่ห้อเบ็นซ์เช่นเดียวกับรถยนต์ที่นายธิติชาติขับออกจากบ้านในวันเกิดเหตุ และขับไปที่โรงแรมซุปเปอร์และจำเลยเป็นคนขับออกจากบ้านในวันเกิดเหตุ และขับไปที่โรงแรมซุปเปอร์และจำเลยเป็นคนขับออกจากโรงแรมซุปเปอร์ในเวลาต่อมา แม้สีของรถและหมายเลขทะเบียนรถจะไม่ตรงกันทีเดียว เพราะรถยนต์ของนายธิติชาติสีเขียวหยก และหมายเลขทะเบียน อ.๑๔-๐๐๑๓ แต่นายเนียนจดไว้ว่ารถสีเทา หมายเลขทะเบียน อ.๐๐๑๓ ก็เป็นที่เห็นได้ว่าขณะจดลงในแบบพิมพ์ใบลงทะเบียนผู้พักเป็นเวลากลางคืน นายเนียนอาจเห็นสีรถไม่ถนัด และนายเนียนอาจจดหมายเลขทะเบียนรถยนต์ไม่ครบถ้วน รถยนต์ที่นายเนียนบันทึกเป็นรถยนต์ยี่ห้อเดียวกับรถของนายธิติชาติ สีใกล้เคียงกัน และหมายเลขทะเบียนก็ตรงกับหมายเลขส่วนท้ายของทะเบียนรถของนายธิติชาติเช่นนี้ เมื่อพิจารณาประกอบกันกับพยานหลักฐานของโจทก์ที่ได้วินิจฉัยมาตามลำดับแล้ว จะเห็นได้ว่ารถยนต์ของนายธิติชาติที่ถูกคนร้ายปล้นไปกับรถยนต์ที่จำเลยขับไปจากโรงแรมซุปเปอร์เป็นรถคันเดียวกันนั่นเอง ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด และคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของนายบุญเลิศและนางจันทร์เพ็ญที่กล่าวอ้างว่าจำเลยได้ร่วมกระทำผิดด้วยเป็นคำบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย แต่โจทก์ก็มีพยานหลักฐานอื่นประกอบให้เห็นว่าคำให้การชั้นสอบสวนของคนทั้งสองเป็นความจริง และมีพยานยืนยันว่าจำเลยเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับการกระทำผิดคดีนี้ด้วย พยานหลักฐานของโจทก์ประกอบกันฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้ร่วมกระทำผิดกับนายบุญเลิศและนางจันทร์เพ็ญจริง พยานหลักฐานของจำเลยในเรื่องฐานที่อยู่หามีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ แม้นายพิทยาเบิกความในคดีที่นายบุญเลิศและนางจันทร์เพ็ญถูกฟ้องเป็นจำเลยว่า เมื่อตำรวจจับกุมคนร้ายได้พยานไม่ได้ชี้ตัวแต่ได้เซ็นชื่อในบันทึกชี้ตัวไปโดยไม่ได้อ่านข้อความและก่อนตำรวจจะสอบสวนเพิ่มเติมได้ถามพยานว่าจำได้ไหม พยานว่าจำได้ ตำรวจก็ให้เซ็นชื่อโดยไม่ได้อ่านข้อความให้ฟังอีก แต่เมื่อนายพิทยาเบิกความในคดีนี้กลับเบิกความว่าตอนไปสถานีตำรวจครั้งแรกไม่ได้ดูตัวคนร้าย ตอนไปดูตัวคนร้ายผู้ต้องขังยืนให้ดู ๗ – ๘ คน จำเลยอ้วนขึ้นกว่าเห็นครั้งแรก ก็หาถึงกับทำให้คำของนายพิทยาที่ว่าพยานจำจำเลยได้เสียไปแต่อย่างใดไม่ เพราะนายพิทยาจำจำเลยได้เพราะเห็นจำเลยในตอนกลางวันและได้พูดคุยกันหลายครั้ง ทั้งพยานเบิกความในคดีแรกเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๒๕ เบิกความในคดีหลังเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๒๖ เป็นเวลาห่างกันเกือบปี พยานอาจหลงลืมเบิกความแตกต่างกันบ้าง ซึ่งมิใช่ในสาระสำคัญ หาถึงกับทำให้คำของพยานในตอนอื่นฟังไม่ได้ไปทั้งหมดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น