คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2794/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กู้เงินผู้ร้องไป 260,700 บาท โดยจำนองที่ดินพร้อมด้วยเรือนพิพาทเป็นประกันในวงเงินไม่เกิน 97,700 บาท ผู้ร้องฟ้องจำเลยที่ 1 เพื่อบังคับจำนอง ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้หนี้ดังกล่าว และเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินออกขายทอดตลาดได้เงิน 115,000 บาท แต่มิได้ยึดเรือนพิพาท จำเลยที่ 1 ยังคงค้างชำระหนี้ผู้ร้องอยู่อีก 130,000 บาท ดังนี้ ผู้ร้องจะบังคับจำนองเอากับที่ดินและเรือนพิพาทได้ไม่เกิน 97,700 บาท เท่านั้นไม่ว่าจะแยกบังคับหรือบังคับเอาพร้อมกันเมื่อผู้ร้องบังคับจำนองเฉพาะที่ดินได้เงินจำนวน 115,000 บาท เกินจำนวนเงินจำนองที่ระบุไว้ ก็ไม่มีสิทธิจะบังคับจำนองเอากับเรือนพิพาทอีกแม้การจำนองจะคลุมถึงหนี้อื่นเช่นดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมด้วย แต่ผู้ร้องก็ไม่ได้นำสืบว่าหนี้ดังกล่าวมีจำนวนแน่นอนแยกได้จากหนี้สามัญเท่าใด ผู้ร้องจึงไม่อาจอาศัยอำนาจแห่งการจำนองนั้นขอรับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดเรือนพิพาทก่อนเจ้าหนี้อื่น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากจำเลยทั้งสองถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดเกี่ยวกับเอกสาร จำเลยที่ 1 ในฐานะนายประกันจำเลยถูกศาลสั่งปรับเป็นเงิน 70,000 บาท และไม่ชำระค่าปรับ พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 มาขายทอดตลาดชำระค่าปรับ ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์จำเลยที่ 1 คือเรือนเลขที่ 49หมู่ที่ 10 อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เพื่อขายทอดตลาด

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เรือนดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้จำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ไว้กับผู้ร้องพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 3598 ในวงเงิน 97,700 บาท ผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และศาลได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินแก่ผู้ร้อง 358,896.76 บาท ถ้าไม่ชำระให้บังคับจำนอง เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 1ขายทอดตลาดชำระหนี้แล้ว 255,000 บาท คงค้างชำระอีก 228,369 บาทผู้ร้องยังเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิในเรือดังกล่าวอยู่ ขอรับเงินจากการขายทอดตลาดเรือนดังกล่าวก่อนเจ้าหนี้อื่น

พนักงานอัยการคัดค้านว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำนองเพียง 97,700 บาทและได้นำยึดเฉพาะที่ดินแปลงที่จำนองขายทอดตลาดได้เงิน 255,000 บาทซึ่งท่วมหนี้จำนองแล้ว จึงไม่มีหนี้จำนองใด ๆ ที่จะบังคับเอากับเรือนดังกล่าวอีก

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ จำเลยที่ 1 เอาที่ดินโฉนดเลขที่ 3598 และเรือนจำนองเป็นประกันเงินกู้ในวงเงิน 97,700 บาท เมื่อที่ดินโฉนดดังกล่าวขายได้เงิน115,000 บาท และผู้ร้องมิได้นำสืบว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดในดอกเบี้ยสำหรับต้นเงิน 97,700 บาท และค่าอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนเท่าใดแน่ ผู้ร้องนำสืบไม่ได้ว่ายังมีหนี้บุริมสิทธิค้างอยู่อีกเท่าใด ศาลไม่อาจคิดให้ได้ ให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยที่ 1ได้กู้เงินผู้ร้องไป 260,700 บาท โดยจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 3598 พร้อมด้วยเรือนพิพาทเป็นประกันในวงเงินไม่เกิน 97,700 บาท และได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 1651 เป็นประกันด้วย เมื่อผู้ร้องฟ้องจำเลยที่ 1 เพื่อบังคับจำนองศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยใช้หนี้เงินกู้แก่ผู้ร้อง จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1651 และ 3598 ออกขายทอดตลาดได้เงินจำนวน 140,000 บาท และ115,000 บาทตามลำดับ แต่ไม่ได้ยึดเรือนพิพาทจำเลยที่ 1 ยังคงค้างชำระหนี้ผู้ร้องอีกประมาณ 130,000 บาท คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องจะมีสิทธิขอรับชำระหนี้จากการขายเรือนพิพาทก่อนเจ้าหนี้อื่นหรือไม่

พิเคราะห์แล้วศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 3598และเรือนพิพาทเป็นประกันหนี้เงินกู้ไว้กับผู้ร้องในวงเงินไม่เกิน 97,700 บาทนั้นผู้ร้องจะบังคับจำนองเอากับที่ดินและเรือนพิพาทได้ไม่เกิน 97,700 บาทเท่านั้นไม่ว่าผู้ร้องจะแยกบังคับจำนองหรือบังคับจำนองเอากับที่ดินและเรือนพิพาทพร้อมกันเมื่อผู้ร้องบังคับจำนองเฉพาะที่ดินได้เงินจำนวน 115,000 บาท เกินจำนวนเงินจำนองที่ระบุไว้แล้ว ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิจะบังคับจำนองเอากับเรือนพิพาทอีก แม้การจำนองจะคลุมถึงหนี้อื่นเช่นดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมด้วยดังที่ผู้ร้องฎีกา แต่ผู้ร้องก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าหนี้ดังกล่าวมีจำนวนแน่นอนแยกได้จากหนี้สามัญเท่าใดอันผู้ร้องมีสิทธิจะได้รับในฐานะเจ้าหนี้จำนองเกินไปกว่าจำนวน 97,700 บาทอีกผู้ร้องจึงไม่อาจอาศัยอำนาจแห่งการจำนองนั้นขอรับชำระหนี้ที่ได้จากการขายทอดตลาดเรือนพิพาทก่อนเจ้าหนี้อื่น

พิพากษายืน

Share