คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1857/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อที่จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาว่าการฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จำเลยและจำเลยร่วมมิได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การ การที่จำเลยและจำเลยร่วมมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นในคำให้การไว้แต่ศาลชั้นต้นจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็เห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรที่จะยกขึ้นวินิจฉัย
แม้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 จะบัญญัติให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เมื่อปรากฏว่าได้ออกโดยคลาดเคลื่อน เช่น ออก น.ส.3 ทับที่ของบุคคลอื่นแต่ก็มิได้หมายความว่าเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้นที่สั่งเพิกถอนหรือแก้ไขน.ส.3 ที่ออกโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายและมิได้หมายความว่าการเพิกถอนหรือแก้ไข น.ส.3 ที่ออกโดยคลาดเคลื่อนหรือโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น จะต้องดำเนินการตามวิธีการตามที่มาตรา 61 บัญญัติไว้เพียงประการเดียว ในบางกรณีคู่กรณีอาจเห็นว่าการดำเนินการตามมาตรา 61 อาจไม่ทันการหรือเกิดความล่าช้าเนื่องจากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งประวิงเวลาไว้ เช่นนี้ คู่กรณีก็มีสิทธิดำเนินคดีทางศาลเพื่อให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขการออกน.ส.3โดยคลาดเคลื่อนหรือโดยไม่ชอบนั้นได้ ดังจะเห็นได้จากความในวรรคท้ายแห่งมาตรา 61 ว่า ‘ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้วให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา71 ดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด’ ส่วนบทบัญญัติมาตรา 60 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินก็เป็นเรื่องที่คู่กรณีโต้แย้งสิทธิในการออกโฉนดที่ดินและกำหนดระยะเวลาการฟ้องร้องไว้ในกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดได้พิจารณาสั่งในปัญหาพิพาทนั้นตามบทบัญญัติมาตรา 60,61 หาได้มีข้อห้ามมิให้ฟ้องคดีหากมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องได้เองหากสิทธิของโจทก์ถูกโต้แย้งตามบทบัญญัติมาตรา 55 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
การที่โจทก์ทั้งสองขอให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินของตนในการรังวัดสอบเขตครั้งนี้มี ส.ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากจำเลยให้ไประวังแนวเขตได้ยืนยันว่ามีการรังวัดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลย ส. จึงไม่ยอมรับรองแนวเขตด้านนี้ เมื่อ ส.ขอรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยส. ก็ยืนยันว่าที่ดินที่โจทก์ที่ 1 อ้างว่าเป็นของโจทก์ที่ 1 นั้น เป็นที่ดินของจำเลย นอกจากนี้ปรากฏตามรายงานผลการรังวัดตรวจสอบ น.ส.3 ของเจ้าพนักงานที่ดินลงวันที่ 28 มิถุนายน 2522 ถึงนายอำเภอมีข้อความสำคัญว่า เมื่อโจทก์ที่ 1 กับพวกขอรังวัดสอบเขตปรากฏว่าเกิดกรณีสงสัยว่าที่ดินซึ่งจำเลยซื้อมาจะทับ น.ส.3ของโจทก์ที่1 จึงได้แจ้งให้จำเลยทราบ ครั้นจำเลยขอรังวัดสอบเขตจึงทราบแน่ชัดว่าน.ส.3ก. ของจำเลยทับ น.ส.3 ของโจทก์เป็นบางส่วน ดังนี้จึงเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่ามีการโต้แย้งสิทธิเกิดขึ้นแล้วโจทก์ทั้งสองย่อมมีอำนาจเสนอคดีต่อศาลหรือมีอำนาจฟ้องคดีได้
ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้เพิกถอน น.ส.3ก.ของจำเลยส่วนที่ออกทับ น.ส.3ของโจทก์ จำเลยและจำเลยร่วมมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าได้แย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์จึงไม่มีประเด็นในเรื่องกำหนดเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 98 เนื้อที่ประมาณ 24 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวา โดยซื้อมาจากนายจรัล เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2521 จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 47, 48, 49 และ 50 โดยซื้อมาจากนางอำพร นางสาวอำพัน จ่าสิบตำรวจพิเชษฐ์ และนายชูชาติเมื่อเดือนกุมภาพันธ์2522 โจทก์ทั้งสองขอให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอท่ามะการังวัดตรวจสอบเนื้อที่ดินของโจทก์ดังกล่าว ปรากฏว่า น.ส.3 ก. ของจำเลยดังกล่าวทับเนื้อที่ดิน น.ส.3 ของโจทก์บางส่วน จำเลยทราบแล้วไม่ดำเนินการเพื่อให้พนักงานที่ดินแก้ไขหรือเพิกถอน น.ส.3 ก.ของจำเลยในส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยไปยื่นคำขอต่อพนักงานที่ดินอำเภอท่ามะกาให้แก้ไขหรือเพิกถอน น.ส.3 ก. เลขที่ 47, 48,49 และ 50 เนื้อที่ 23 ตารางวา 2 งาน 69 ตารางวา 1 ไร่ 2 งาน 6 ตารางวาและ 2 ไร่1 งาน 23 ตารางวา ตามลำดับ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การว่า แผนที่สังเขปท้ายฟ้องของโจทก์ไม่เป็นความจริงที่ดิน น.ส.3 ก.ของจำเลยทั้งสี่ฉบับตามฟ้องเป็นการออกโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้ทับที่ดินของโจทก์ หากจะฟังว่ามีการออกทับกันจริง โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะอำนาจเพิกถอนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยไม่ชอบนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้นที่มีสิทธิสั่งเพิกถอน และผู้ว่าราชการจังหวัดยังไม่มีคำสั่งเกี่ยวกับ น.ส.3 ก. ของจำเลยแต่ประการใด คดีของโจทก์จึงยังไม่มีข้อโต้แย้งตามประมวลกฎหมายที่ดินขอให้ยกฟ้อง

จำเยขอให้ศาลชั้นต้นหมายเรียกนางอำพร ชัยเกษม นางสาอำพัน สุขอร่ามจ่าสิบตำรวจพิเชษฐ์ สุขอร่าม และนายชูชาติ สุขอร่าม เข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยร่วมทั้งสี่ให้การร่วมกันว่า แผนที่สังเขปท้ายฟ้องโจทก์ไม่ถูกต้องที่ดินตามน.ส.3 ก.เลขที่ 47, 48, 49 และ 50 มิได้ออกทับที่ดิน ตาม น.ส. 3 ของโจทก์ การออกน.ส.3 ก. ที่ดินทั้งสี่แปลงได้กระทำโดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายฟ้องโจทก์ขาดอายุความ การออก น.ส.3 ของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยและจำเลยร่วมไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ตาม น.ส.3 เลขที่ 98 ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยไปยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอท่ามะกาให้เพิกถอนหรือแก้ไข น.ส.3 ก.เลขที่ 48, 48, 49 และ 50เนื้อที่ 23 ตารางวา 2 งาน 69 ตารางวา, 1 ไร่ 2 งาน 6 ตารางวาและ 2 ไร่ 1 งาน 23 ตารางวา ตามลำดับ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสี่ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาว่าการฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสให้ฟ้องและดำเนินคดีแต่ประการใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าการที่จำเลยและจำเลยร่วมมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นในคำให้การไว้แต่ศาลชั้นต้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็เห็นว่าไม่มีเหตุสมควรที่จะยกขึ้นวินิจฉัย

แม้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 จะบัญญัติให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เมื่อปรากฏว่าได้ออกโดยคลาดเคลื่อนเช่น ออก น.ส.3 ทับที่ของบุคคลอื่น แต่ก็มิได้หมายความว่าเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้นที่สั่งเพิกถอนหรือแก้ไข น.ส.3 ที่ออกโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายและมิได้หมายความว่าการเพิกถอนหรือแก้ไข น.ส.3 ที่ออกโดยคลาดเคลื่อนหรือโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น จะต้องดำเนินการตามวิธีการตามที่มาตรา 61 บัญญัติไว้เพียงประการเดียว ในบางกรณีคู่กรณีอาจเห็นว่าการดำเนินการตามมาตรา 61 อาจไม่ทันการหรือเกิดการล่าช้าเนื่องจากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งประวิงเวลาไว้ เช่นนี้คู่กรณีก็มีสิทธิดำเนินคดีทางศาลเพื่อให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขการออก น.ส.3 โดยคลาดเคลื่อนหรือโดยไม่ชอบนั้นได้ ดังจะเห็นได้จา่กความในวรรคท้ายแห่ง มาตรา 61 ว่า”ในการที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม มาตรา 71 ดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด” ส่วนบทบัญญัติ มาตรา 60 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินก็เป็นเรื่องที่คู่กรณีโต้แย้งสิทธิในการออกโฉนดที่ดินและกำหนดระยะเวลาการฟ้องร้องไว้ในกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดได้พิจารณาสั่งในปัญหาพิพาทนั้นตามบทบัญญัติ มาตรา 60, 61หาได้มีข้อห้ามมิให้ฟ้องคดีหาดมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ไม่โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องได้เองหากสิทธิของโจทก์ถูกโต้แย้งตามบทบัญญัติ มาตรา 55 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การที่โจทก์ทั้งสองขอให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินของตน ในการรังวัดสอบเขตครั้งนี้มีนางสุนันทาซึ่งได้รับมอบอำนาจจากจำเลยให้ไประวังแนวเขต ได้ยืนยันว่ามีการรังวัดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยนางสุนันทาจึงไม่ยอมรับรองแนวเขตด้านนี้ เมื่อนางสุนันทาขอรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลย นางสุนันทาก็ยืนยันว่าที่ดินที่โจทก์ที่ 1 อ้างว่าเป็นของโจทก์ที่ 1 นั้น เป็นที่ดินของจำเลยนอกจากนี้ปรากฏตามรายงานผลการรังวัดตรวจสอบ น.ส.3 ก. ของนายประพันธ์เจ้าพนักงานที่ดินลงวันที่ 28 มิถุนายน 2522 ถึงนายอำเภอท่ามะกามีข้อความสำคัญว่าเมื่อโจทก์ที่ 1 กับพวกขอรังวัดสอบเขตจึงทราบแน่ชัดว่า น.ส.3 ก. ของจำเลยทับ น.ส.3ของโจทก์ที่ 1 เป็นบางส่วน ดังนี้ จึงเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่ามีการโต้แย้งสิทธิเกิดขึ้นแล้วโจทก์ทั้งสองย่อมมีอำนาจเสนอคดีต่อศาลหรือมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้

ที่จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความ เห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้เพิกถอน น.ส.3 ก. ของจำเลยส่วนที่ออกทับ น.ส.3 ของโจทก์ จำเลยและจำเลยร่วมมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าได้แย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ จึงไม่มีประเด็นในเรื่องกำหนดเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ แล้ววินิจฉัยว่าที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 47, 48, 49 และ 50 ของฝ่ายจำเลยทับ น.ส.3 เลขที่ 98 ของโจทก์เป็นจำนวนเนื้อที่ตามฟ้อง

พิพากษายืน

Share