คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาจดทะเบียนสมรสกันมีบุตรด้วยกัน 1 คนต่อมาจดทะเบียนหย่าแล้วจดทะเบียนสมรสกันอีก ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์จำเลยแยกกันอยู่ โดยโจทก์กับบุตรอยู่ในประเทศไทย ส่วนจำเลยพักอาศัยอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาตามลำพัง โจทก์พาบุตรเดินทางไปเยี่ยมจำเลยตามปกติพบชายอื่นพักอาศัยอยู่ร่วมห้องกับจำเลยในอพาร์ตเมนต์ของจำเลย โจทก์จำเลยมีปากเสียงกันหลังจากนั้นประมาณ 3 ปี โจทก์พาบุตรเดินทางไปพบจำเลยเนื่องจากต้องการให้จำเลยลงชื่อให้ความยินยอมในการขายตึกแถวสินสมรส โจทก์ก็พบจำเลยพักอาศัยอยู่ร่วมห้องกับชายอื่นอีกคนหนึ่งในอพาร์ตเมนต์ของจำเลยอีก โจทก์จำเลยมีปากเสียงกันเช่นเคย เมื่อจำเลยเดินทางจากประเทศสหรัฐอเมริกามาที่ประเทศไทย จำเลยก็มากับชายอื่นและเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ด้วยกัน แทนที่จำเลยจะพักอยู่บ้านโจทก์ผู้เป็นสามีพฤติการณ์ของจำเลยจึงเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ทั้งเป็นการทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นภริยาอย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516(2)(ก)(ข) และ (6) แม้ในระหว่างที่จำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ โจทก์ได้จดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่น และให้ความอุปการะเลี้ยงดูด้วยซึ่งเป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยก็ชอบที่จำเลยจะยกขึ้นว่ากล่าวเอาความกับโจทก์ตามสิทธิที่มีอยู่ กรณีหาเป็นเหตุทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์สิ้นไปไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับโจทก์และให้โจทก์เป็นผู้ปกครองดูและอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ไม่ได้มีชายอื่นเข้ามาอยู่อาศัยร่วมกัน ไม่มีความสัมพันธ์กับชายอื่น ไม่ติดการพนันหรือก่อภาระหนี้สินจำเลยไม่เคยประพฤติตนเป็นเหตุให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง จำเลยประกอบอาชีพสุจริตและอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์อย่างดีตลอดมาและจำเลยไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ในการที่ร้องเรียนเรื่องที่โจทก์หลบหนีคดีจากประเทศสหรัฐอเมริกาขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมโจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาจดทะเบียนสมรสกันต่อมาจดทะเบียนหย่าแล้วจดทะเบียนสมรสกันอีก ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์จำเลยแยกกันอยู่ โดยโจทก์กับนางสาวแทมมารีนผู้เป็นบุตรโจทก์จำเลยอยู่ในประเทศไทย ส่วนจำเลยพักอาศัยอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาตามลำพังแต่ผู้เดียว เมื่อเดือนมีนาคม 2531 โจทก์พานางสาวแทมมารีนเดินทางไปเยี่ยมจำเลยตามปกติคนทั้งสองพบชายอื่นพักอาศัยอยู่ร่วมห้องกับจำเลยในอพาร์ตเมนต์ของจำเลย โจทก์จำเลยมีปากเสียงกัน อยู่ร่วมอพาร์ตเมนต์ของจำเลยคือนายอำนวย หลังจากนั้นประมาณ 3 ปี โจทก์พานางสาวแทมมารีนเดินทางไปพบจำเลยเนื่องจากต้องการให้จำเลยลงชื่อให้ความยินยอมในการขายตึกแถวสินสมรส ครั้งนี้โจทก์พบจำเลยพักอาศัยอยู่ร่วมห้องกับคนไทยชื่อนายปีเตอร์ในอพาร์ตเมนต์ของจำเลยอีก โจทก์จำเลยมีปากเสียงกันเช่นเคย ในปี 2537 เมื่อครั้งจำเลยเดินทางจากประเทศสหรัฐอเมริกามาชมการแข่งขันเทนนิสของนางสาวแทมมารีนผู้เป็นบุตรที่ประเทศไทย จำเลยก็มากับนายปีเตอร์และเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ด้วยกันแทนที่จะพักอยู่บ้านโจทก์ผู้เป็นสามีแล้ววินิจฉัยว่าพฤติการณ์ของจำเลยผู้เป็นภริยาเท่าที่ปรากฏจึงเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ทั้งเป็นการทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นภริยาอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(2)(ก)(ข) และ (6) แม้จะได้ความว่าในระหว่างที่จำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ แต่โจทก์ก็ยังจดทะเบียนสมรสกับนางสาวพิมพนา วรรณชัย อีกทั้งให้ความอุปการะเลี้ยงดูด้วยซึ่งเป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยก็ตาม ก็ชอบที่จำเลยจะยกขึ้นว่ากล่าวเอาความกับโจทก์ตามสิทธิที่มีอยู่ กรณีหาเป็นเหตุทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์สิ้นไปไม่

พิพากษายืน

Share