แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กับผู้อื่นร่วมกันทุจริตนำเช็คพิพาทของบริษัทแห่งหนึ่งให้โจทก์นำไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจากธนาคารโจทก์ย่อมมิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น โจทก์หาใช่ผู้เสียหายตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็ค 18 ฉบับ โดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า โจทก์กับนายชัยวัฒน์ร่วมกันทุจริตนำเช็คพิพาททั้ง 18 ฉบับของบริษัทแชร์ เศรฐกิจการลงทุนจำกัด ให้โจทก์นำไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจากธนาคารและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงยุติว่าโจทก์กับผู้อื่นร่วมกันทุจริตนำเช็คพิพาทของบริษัทดังกล่าวให้โจทก์นำไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจากธนาคาร โจทก์ย่อมมิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น โจทก์หาใช่ผู้เสียหายตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) ไม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาและเห็นว่าไม่จำต้องวินิจฉัยว่าการออกเช็คของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ต่อไปนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน