คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4193/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2523ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2523 จำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์แล้ว ได้ร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ในใบถอนเงินฝากประจำทำการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของโจทก์ แล้วโอนไปเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยที่ 3 อันเป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับและเป็นการยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายต้องสูญเสียเงินฝากประจำขาดดอกเบี้ยที่จะได้รับ และต้องเสียชื่อเสียงในการดำเนินกิจการ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ คำฟ้องดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วจึงไม่เคลือบคลุมกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำใบถอนเงินฝากประจำของโจทก์โดยมิได้ลงวันถอนมอบให้จำเลยที่1ยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้อันเกิดจากการขายลดตั๋วเงินของจำเลยที่3เมื่อจำเลยที่งวันเดือนปีในใบถอนเงินแล้วใช้หักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของโจทก์โอนไปเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยที่ 3 เพื่อชำระหนี้ แม้จะกระทำภายหลังที่โจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ขอยกเลิกลายเซ็นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วก็ตามถือได้ว่าโจทก์ยินยอมหรือสมัครใจให้ทำเช่นนั้น จึงไม่เป็นการทำละเมิด โจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อค้ำประกันหนี้ผู้อื่น การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ทำใบถอนเงินฝากประจำของโจทก์มอบให้จำเลยที่ 1ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 3 เป็นการกระทำนอกขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์ จึงไม่ผูกพันโจทก์ จำเลยที่ 1ไม่มีสิทธิหักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. 2518 โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ ป.8296 ไว้กับจำเลยที่ 1 สาขานครปฐม ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2523 ได้เปลี่ยนเป็นบัญชีเลขที่ป.14243 โจทก์นำเงินเข้าฝากในบัญชีดังกล่าวเป็นระยะ ๆ จนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2523โจทก์มีเงินฝากประจำกับจำเลยที่ 1 สาขานครปฐม เป็นเงิน 31,247,056.16 บาท ตกลงฝากประจำมีกำหนด 5 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี ระหว่างปี พ.ศ. 2518 ถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2523 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รับแต่งตั้งให้ร่วมกันเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์กระทำกิจการต่าง ๆ แทนโจทก์ได้ ในระหว่างระยะเวลาดังกล่าววันเวลาใดไม่ปรากฏขัด จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันทำให้เสียหายทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน ปลอมเอกสาร ซึ่งเป็นทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันของโจทก์ เพื่อให้โจทก์ ผู้เป็นหุ้นส่วนและผู้ถือหุ้นของโจทก์ขาดประโยชน์อันควรได้จากทรัพย์สินข้างต้น กล่าวคือ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ประกอบธุรกิจทำไร่อ้อยและจำเลยที่ 3 ในฐานะส่วนตัวได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับจำเลยที่ 1 สาขานครปฐม ตามบัญชีเลขที่ 920 แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยทุจริตโดยปราศจากอำนาจ อาศัยตำแหน่งผู้มีอำนาจของโจทก์ร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราของโจทก์ในใบถอนเงิน มอบให้ผู้จัดการจำเลยที่ 1 สาขานครปฐมเพื่อให้มีอำนาจกรอกข้อความโอนเงินฝากประจำของโจทก์ ตามบัญชีเลขที่ ป.14243 ไปเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 920 ของจำเลยที่ 3 ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2523 ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2523 จำเลยร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์กล่าวคือ จำเลยรู้อยู่แล้วว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำกิจการแทนโจทก์ แต่บังอาจร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราของโจทก์ในใบถอนเงินถอนเงินฝากประจำของโจทก์บัญชีเลขที่ ป.14243จำนวนเงิน 31,247,056.16 บาท แล้วโอนไปเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่920 ของจำเลยที่ 3 โดยปราศจากอำนาจที่จะกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้พ้นตำแหน่งกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ตั้งแต่วันที่21 สิงหาคม 2523 การโอนเงินดังกล่าวผู้จัดการสาขาซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ในฐษนะผู้มีอาชีพหรือประกอบธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนได้กระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริตและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงผิดปกติวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์จะพึงกระทำ การที่จำเลยร่วมกันทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับเป็นการยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ด้วย โจทก์ได้รับความเสียหายดังนี้ ต้องสูญเสียเงินจำนวน 31,247,056.16 บาท ที่ฝากประจำไว้ ขาดดอกเบี้ยที่ได้รบจากเงินฝากประจำดังกล่าวตั้งแต่วันฝากในแต่ละยอดเป็นต้นไปจนกว่าจะได้รับเงินฝากประจำคืน คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,358,611.53 บาท และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียงในการดำเนินกิจการ เพราะาจถูกสำนักงานประกันภัยกระทรวงพาณิชย์ เข้าควบคุมกิจการดำเนินงานหรือสั่งให้หยุดดำเนินงานได้ เนื่องจากโจทก์ดำเนินกิจการประกันภัยอันเป็นกิจการที่ต้องได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากประชาชนทำให้โจทก์ไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนและสำนักงานประกันภัย ทำให้รายได้จากกิจการของโจทก์ตกต่ำไป และจำนวนเงินดังกล่าว โจทก์ยังสามารถหารายได้ด้วยการนำไปฝากประจำไว้กับแหล่งเงินทุนอื่น หรือหมุนหาประโยชน์ได้คิดเป็นเงินจำนวนมากจึงขอคิดค่าเสียหายส่วนนี้เป็นเงิน 60 ล้านบาท ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามฟ้องรวมเป็นเงิน 99,605,667.69 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า นายสมชาย ชวาลตันพิพัทธ์ และนายสมพงษ์ รัชวาลตันพิพัทธ์ จะมีอำนาจดำเนินกิจการแทนโจทก์หรือไม่ จำเลยที่ 1 ไม่ทราบและไม่รับรอง แม้คนทั้งสองดังกล่าวจะเป็นกรรมการของโจทก์ก็เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยระเบียบข้อบังคับของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 หรือผู้จัดการจำเลยที่ 1สาขานครปฐม มิได้กระทำผิดหน้าที่ของธนาคารโดยทุจริต หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงผิดปกติวิสัยของผู้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์จะพึงกระทำ และมิได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำเอกสารปลอม หรือร่วมกันยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ ทำความเสียหายให้แก่โจทก์ดังที่กล่าวอ้างในฟ้อง การกระทำของจำเลยที่ 1 หรือผู้จัดการจำเลยที่ 1 สาขานครปฐม ในการถอนเงินฝากประจำจำนวน 31,247,056.16 บาทเป็นการกระทำที่สุจริต ได้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ ธรรมเนียมประเพณีของธนาคารพาณิชย์ และเป็นไปตามเงื่อนไขข้อตกลงและความประสงค์ของโจทก์ที่ให้ถอนเงินดังกล่าวเอาชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 3 ซึ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ได้ตลอดมาอยู่แล้ว หากมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจของจำเลยที่ 2 และที่ 3จริงก็เป็นความบกพร่องและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ที่ไม่แจ้งให้จำเลยที่ 1หรือผู้จัดการจำเลยที่ 1 สาขานครปฐมทราบทันทีที่มีการเปลี่ยนแปลง มีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริตหลายประากรที่โจทก์สมคบกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ปิดบังขอความจริงที่มีการเปลี่ยนแปลงอันควรที่จะต้องให้จำเลยที่ 1 ทราบทันที กลับปล่อยปละละเลยให้เวลาล่วงพ้นมา และในระยะเวลาดังกล่าวโจทก์ยังยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 2ร่วมกันมีอำนาจกระทำแทนโจทก์ได้ตลอดเวลา ฉะนั้นหากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน ปลอมเอกสารอันเป็นหลักประกันของโจทก์จริง ก็ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 การฟ้องคดีของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ลงในใบถอนเงินฝากประจำตามบัญชีเลขที่ ป.8296 และเลขที่ ป.14243 โดยชอบด้วยระเบียบข้อบังคับของโจทก์และต้องตามความประสงค์ของโจทก์ซึ่งได้ทำไว้กับจำเลยที่ 1 แล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินฝากประจำตลอดจนค่าเสียหายตามฟ้อง และฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยทั้งสองเคยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของโจทก์ทำการแทนโจทก์ แต่อำนาจดังกล่าวได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2523 ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ทราบก่อนที่จะมีเหตุอันเป็นมูลพิพาทในคดีนี้ ในวันที่ 2 ตุลาคม 2523 จำเลยทั้งสองมิได้ร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ขอถอนเงินจำนวน 31,247,056.16 บาท จากบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ ป. 14243 ของโจทก์ เพื่อเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 920 ของจำเลยที่ 3 การถอนและโอนเงินดังกล่าวจำเลยที่ 1 โดยผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 สาขานครปฐม ได้ปลอมเอกสารซึ่งมีลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองและประทับตราสำคัญของโจทก์ แต่ยังมิได้กรอกข้อความ ซึ่งมอบให้แก่ฝ่ายจำเลยที่ 1 ไว้เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจของโจทก์มิได้มอบให้ไว้เพื่อถอนเงินและโอนเงินไปเข้าบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 920 ของจำเลยที่ 3 จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินจำนวน 31,247,056.16 บาแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี โดยคิดคำนวณตามวิธีการและธรรมเนียมปฏิบัติของธนาคารนับแต่วันฝากในแต่ละยอดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จจำนวนหนึ่งแต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไม่เกินจำนวน 2,358,611.53 บาท กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์จำนวนเงินยี่สิบสามล้านบาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จอีกจำนวนหนึ่ง

โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์จำนวน 8 ล้านบาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินจำนวนนี้เสร็จ กับให้จำเลยบที่ 1 ชำระให้โจทก์อีกปีละ 4 ล้านบาททุก ๆ หนึ่งปี พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่จะต้องชำระเงินแต่ละยอดจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2523 ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2523 จำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้มีอำนาจยกระทำการแทนโจทก์แล้ว ได้ร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ในใบถอนเงินฝากประจำทำการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของโจทก์ แล้วโอนไปเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยที่ 3 อันเป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ และเป็นการยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายต้องสูญเสียเงินฝากประจำ ขาดดอกเบี้ยที่จะไ้ดรับจากเงินฝากประจำ และต้องเสียชื่อเสียงในการดำเนินกิจการ ขอให้จำเลยร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ประเด็นข้อต่อไปว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 อาศัยตำแหน่งผู้มีอำนาจของโจทก์ร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ในใบถอนเงินฝากของโจทก์ที่มีต่อจำเลยที่ 1 สาขานครปฐมตามบัญชีเลขที่ ป.14243 มอบไว้แก่ผู้จัดการจำเลยที่ 1 สาขานครปฐม เพื่อให้มีอำนาจกรอกข้อความโอนเงินไปเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 920 ของจำเลยที่ 3 อันเป็นการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกับนายชัยยะ จูฑะพุทธิ ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 ในการดำเนินคดีนี้เบิกความว่าจำเลยที่ 1 สาขานครปฐม รายงานสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 ขออนุมัติทำสัญญาขายลดเช็คกับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 อนุมัติให้ทำได้โดยมีเงื่อนไขว่า ให้จำเลยที่ 3จัดให้โจทก์ทำใบถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ ป.8296 และ ป.14243 เท่าจำนวนเงินฝากที่มีอยู่ในบัญชี จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ลงลายมือชื่อในใบถอนเงินมอบให้จำเลยที่ 1 ไว้ตามข้อตกลงซึ่งกรรมการของโจทก์ทุกคนทราบ ทั้งกรรมการของโจทก์ทุกคนทำสัญญาค้ำประกันการขายลดเช็คของจำเลยที่ 3 ด้วย ตามเอกสารหลาย ล.396 ถึง ล.422 คำของนายชัยยะดังกล่าวมีนายสมนึกผู้จัดการจำเลยที่ 1 สาขานครปฐม เบิกความสนับสนุน และนายสมนึกเบิกความด้วยว่าใบถอนเงินฝากประจำฉบับดังกล่าวซึ่งเป็นฉบับพิพาท คือเอกสารหมายจ.133 (หรือ จ.39 ซึ่งเป็นสำเนา) ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.396, 398, 400, 402 และ404 ว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2522 นายสมชาย นางสาวนิภาพร นายสมศักดิ์ และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการ ผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ และนายสุรพงษ์ซึ่งเป็นกรรมการของโจทก์ตามลำดับ ทำสัญญาค้ำประกันการขายลดตั๋วเงินที่จำเลยที่ 1รับซื้อจากจำเลยที่ 3 ภายในวงเงินไม่เกินจำนวนเงินในสมุดฝากประจำเลขที่ ป.8296และต่อมาเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2523 นายสมชายกับพวกทั้งห้าดังกล่าวได้ทำบันทึกต่อท้ายสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 12 มกราคม 2522 ความว่านายสมชายกับพวกยอมเข้าค้ำประกันการชำระหนี้อันเกิดจากการขายลดตั๋วเงินของจำเลยที่ 3 ต่อจำเลยที่ 1สาขานครปฐม ภายในวงเงินไม่เกินจำนวนเงินในสมุดฝากประจำเลขที่ ป.8296 และ พ.14243 ตามเอกสารหมาย ล.397, 399, 401, 403 และ 405 ทั้งนายสมพงษ์ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ในขณะนั้นอีกคนหนึ่งก็ได้ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้อันเกิดจากการขายลดตั๋วเงินของจำเลยที่ 3 ในวันที่ 12 มกราคม 2522และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2523 พร้อมนายสมชายกับพวกด้วยตามเอกสารหมาย ล.20และ ล.21 โดยมีข้อความทำนองเดียวกันข้อเท็จจริงเชื่อว่า กรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ทุกคนรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำใบถอนเงินฝากประจำของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.133 โดยมิได้ลงวันถอนมอบให้จำเลยที่ 1 สาขานครปฐม ยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้อันเกิดจากการขายลดตั๋วเงินของจำเลยที่ 3 ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 1 ลงวันเดือนปีในใบถอนเงินฉบับดังกล่าวแล้วใช้หักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ ป.14243 ของโจทก์ โอนไปเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 920 เพื่อชำระหนี้ อันเกิดจากการขายลดตั๋วเงินของจำเลยที่ 3 จึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เพราะถือได้ว่าโจทก์ยินยอมหรือสมัครใจให้ทำเช่นนั้น แม้จำเลยที่ 1จะได้กระทำภายหลังที่โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 สาขานครปฐม ขอยกเลิกลายเซ็นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งมีอำนาจถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของโจทก์ก็ตาม และเมื่อโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อค้ำประกันหนี้ผู้อื่น การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3ทำใบถอนเงินฝากประจำของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.133 มอบให้จำเลยที่ 1 สาขานครปฐม ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 3 เป็นการกระทำนอกขอบวัตถุที่ประสงค์ของโจทก์ จึงไม่ผูกพันโจทก์ จำเลยที่ 1 สาขานครปฐมไม่มีสิทธิหักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ ป.14243 ของโจทก์

พิพากษาแก้ เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 31,247,056.16 บาทแก่โจทก์โดยนำเข้าบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ ป.14243 ของโจทก์ เป็นทอด ๆ ตามรายการและรายละเอียดที่ปรากฏในบัญชีดังกล่าว กับให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์สำหรับยอดเงินที่ฝากครบ 5 ปี ตามเงื่อนไขในสมุดคู่ฝากเงินประจำด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share