คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3540/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบอุตสาหกรรมผลิตปูนซิเมนต์เพื่อจำหน่ายการที่โจทก์ใช้อาคารพิพาทเป็นสำนักงานของโจทก์เองหรือใช้เป็นโรงอาหาร โรงจอดรถ หรือเป็นห้องเครื่องทำความเย็นก็ล้วนแต่เป็นการใช้อาคารเพื่อธุรกิจของโจทก์ หาใช่เป็นการอยู่เอง หรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาและซึ่งมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือ ประกอบอุตสาหกรรม อันจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือน ตามมาตรา10แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมแล้วแต่อย่างใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินต่อเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 เพื่อให้กำหนดค่ารายปีและประเมินเรียกเก็บค่าภาษีโรงเรือนประจำปี พ.ศ. 2524 จากอาคาร 5 หลัง ซึ่งโจทก์ให้เช่าบางส่วนและใช้เองบางส่วน โดยของดเว้นภาษีสำหรับอาคารส่วนที่โจทก์ใช้เอง เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ประเมินให้โจทก์ชำระภาษีทุกรายการเป็นเงิน 376,150.92 บาทโดยไม่ให้โจทก์ได้รับงดเว้นภาษีตามที่โจทก์ขอ โจทก์ได้ชำระภาษีจำนวนดังกล่าวแล้วและได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 2 ให้พิจารณาการประเมินใหม่ จำเลยที่ 2 มีคำสั่งยืนตามเดิม โจทก์เห็นว่าส่วนที่โจทก์ใช้เอง ได้ใช้เป็นสำนักงานฝ่ายบริหารและติดต่อธุรกิจของโจทก์เอง บางส่วนใช้เป็นห้องอาหาร ห้องทำความเย็น และโรงจอดรถไม่ได้ใช้แสวงหาประโยชน์ใด ๆ จากผู้อื่น ควรได้รับยกเว้นภาษีโรงเรือน ขอให้เพิกถอนการประเมินเรียกเก็บภาษีของจำเลยที่ 1 และเพิกถอนใบแจ้งคำชี้ขาดคำร้องขอพิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนของจำเลยที่ 2 และให้จำเลยทั้งสองคืนเงินภาษีโรงเรือนแก่โจทก์เป็นเงิน 157,081.82 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ประเมินภาษีโดยชอบแล้วเพราะโจทก์ใช้โรงเรือนเป็นสถานที่ให้ลูกค้าติดต่อทำการซื้อขายสินค้าของโจทก์ใช้เป็นสถานที่ทำสัญญาหรือนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมแสดงว่าใช้โรงเรือนแสวงหาประโยชน์ มิใช่เข้าอยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาอันจะได้รับยกเว้นภาษีคำวินิจฉัยชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ยืนตามการประเมินภาษีของจำเลยที่ 1 เป็นคำวินิจฉัยโดยชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลย
คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบอุตสาหกรรมผลิตปูนซิเมนต์เพื่อจำหน่าย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โรงเรือนพิพาทโจทก์สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่สถานที่ติดต่อธุรกิจและแสวงหาประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ประกอบอุตสาหกรรมของโจทก์ ถือได้ว่าเป็นโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ซึ่งเจ้าของมิได้อยู่เองหรือมิได้ให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาแต่ประการใด จึงมิได้รับงดเว้นภาษีโรงเรือน พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่โจทก์ใช้อาคารพิพาทเป็นสำนักงานฝ่ายบริหารถือได้ว่าเป็นการอยู่เอง แม้โจทก์ติดต่อกับลูกค้าและทำนิติกรรมสัญญาที่อาคารพิพาทและใช้เป็นที่เก็บนิติกรรมสัญญาต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดาของการอยู่อาศัย โจทก์ย่อมได้รับงดเว้นการเสียภาษีโรงเรือน พิพากษากลับให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนของเจ้าพนักงานเรียกเก็บภาษีของจำเลยที่ 1 และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีจำนวน 157,081.92 บาทแก่โจทก์ หากคืนพ้นกำหนด 3 เดือนให้เสียดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ใช้อาคารพิพาทเป็นสำนักงานของโจทก์เองหรือใช้เป็นโรงอาหาร โรงจอดรถ หรือเป็นห้องเครื่องทำความเย็น ก็ล้วนแต่เป็นการใช้อาคารเพื่อธุรกิจของโจทก์นั่นเอง หาใช่เป็นการอยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาและซึ่งมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบอุตสาหกรรม อันจะได้รับการงดเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือน ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมแล้วแต่อย่างใดไม่ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share