แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีรับขน สิทธิของผู้ส่งจะตกเป็นของผู้รับตราส่งต่อเมื่อสินค้าไปถึงตำบลที่กำหนดไว้และผู้รับตราส่งเรียกให้ส่งมอบแล้ว กรณีที่สินค้าสูญหายระหว่างการรับขนสิทธิของผู้ส่งหาตกเป็นของ ผู้รับตราส่งไม่ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประกอบธุรกิจขนส่งสินค้า โจทก์ได้มอบสินค้า ให้จำเลยส่งไปให้แก่ลูกค้าของโจทก์ในประเทศญี่ปุ่นในใบตราส่ง ก็ได้ระบุข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการ ส่งสินค้าตลอดจน ค่าขนส่งฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์อย่างใด แม้จะกล่าวในตอนท้ายว่าการกระทำละเมิดของจำเลยทำให้โจทก์ ไม่ได้รับเงินจากลูกค้าก็เห็นได้ว่าฟ้องโจทก์มุ่งประสงค์จะให้จำเลย รับผิดตามสัญญารับขน สินค้าที่จำเลยรับขนคือพลอยหาใช่หีบห่อหรือกล่องที่ใส่พลอยไม่ เมื่อส่งไปถึงผู้รับตราส่งคงมีแต่หีบห่อหรือกล่องเปล่าย่อมจะถือว่า ของส่งถึงตำบลที่กำหนดให้ส่งแล้วตามความหมายของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 หา ได้ไม่ จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยได้ส่งมอบสินค้าหรือวันที่ควรจะส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้รับตราส่งแต่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบสินค้าให้จำเลยในฐานะผู้ขนส่งฎีกาของจำเลยจึงแตกต่างไปจากที่จำเลยเคยให้การต่อสู้คดีไว้หาใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยไม่สามารถขนส่งสินค้า ของโจทก์ไปให้ลูกค้าได้ตามสัญญาเพราะสินค้าสูญหาย ไปค่าเสียหาย ที่โจทก์เรียกร้องมาในคำฟ้องก็คือราคาสินค้าตามที่กำหนดไว้ใน ใบกำกับสินค้าหากจำเลยเห็นว่าราคาที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินไป จำเลยก็อาจให้การต่อสู้คดีและนำสืบให้เห็นเช่นนั้นได้โจทก์หาจำต้องระบุรายละเอียดมาในคำฟ้องว่าราคาสินค้าที่เรียกร้องเป็นราคาต้นทุนเท่าใด กำไรเท่าใดไม่ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ตามใบตราส่งที่จำเลยออกให้โจทก์เห็นได้ว่า จำเลยรับขนส่งสินค้า ซึ่งระบุว่าเป็นพลอย เป็นสินค้ามีค่าได้กำหนดราคาสินค้าและเสีย ค่าขนส่งพิเศษสำหรับสินค้ามีค่าจำเลยจึงมีหน้าที่ที่จะต้องขนส่งพลอย ตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งไปให้ผู้รับตราส่งตามที่ได้สัญญาไว้แก่โจทก์ หน้าที่ของจำเลยมิใช่มีเพียงแต่ขนส่งกล่องสินค้าโดยไม่ต้องคำนึงว่าสินค้าในกล่องจะมีอยู่หรือไม่ เมื่อสินค้าสูญหายไปไม่ถึงผู้รับตราส่ง จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามมาตรา616 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะอ้างว่าจำเลยรับสินค้ามาในสภาพที่อยู่ในหีบห่อเรียบร้อยจำเลย มิได้รู้เห็นในการบรรจุสินค้า จึงไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่ ทั้งข้ออ้างดังกล่าวก็ขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยซึ่งยอมรับว่าได้ทำสัญญารับขนพลอย ตามรายการที่โจทก์ฟ้องแต่อ้างว่าได้ส่งสินค้าไปถึงจุดหมายปลายทาง โดยไม่มีการสูญหายแล้ว แม้ราคาสินค้าที่โจทก์เรียกจากจำเลยจะรวมกำไรค่าประกันภัย และค่าขนส่งด้วยแต่ก็เป็นราคาสินค้าที่โจทก์ขายให้แก่ผู้ซื้อซึ่งโจทก์ มีสิทธิได้รับหากมีการ ขนส่งถึงมือผู้ซื้อและราคาจำนวนนี้ได้ระบุไว้ ในใบตราส่งซึ่งถือเสมือนสัญญารับขนระหว่างโจทก์จำเลยทั้งจำเลย ก็มิได้นำสืบหักล้างว่าโจทก์มิได้เสียหายตามจำนวนดังกล่าวโจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเสียหายตามจำนวนที่เรียกร้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับจ้างขนพลอยไปส่งให้แก่ลูกค้าของโจทก์ที่ประเทศญี่ปุ่นจำเลยได้รับสินค้า ทราบราคาและประเภทสินค้าของโจทก์แล้วตามใบตราส่ง ต่อมาโจทก์ได้รับแจ้งจากลูกค้าว่าสินค้าสูญหายไประหว่างขนส่งได้รับแต่หีบห่อเท่านั้นการกระทำละเมิดของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับเงินจากลูกค้า จึงขอให้ศาลพิพากษาและบังคับ
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญารับขนพลอยตามฟ้องโจทก์จริง แต่สินค้าที่จำเลยรับขนไม่ได้สูญหายระหว่างขนส่ง จำเลยได้ขนส่งสินค้าที่ได้รับมอบหมายไปถึงจุดหมายปลายทางในสภาพเรียบร้อย สินค้าตามฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับตราส่งแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องกำไรและค่าขนส่งฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคุลม โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปีนับแต่วันส่งมอบสินค้าหรือวันที่ควรจะส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้รับตราส่ง คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยรับมอบสินค้าของโจทก์ซึ่งห่อเรียบร้อยแล้ว เมื่อจำเลยมอบหีบห่อที่ขนส่งให้ผู้รับในสภาพที่หีบห่อภายนอกเรียบร้อยเช่นเดิมจำเลยไม่ต้องรับผิดในการที่สินค้าในหีบห่อสูญหายไป พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีรับขนนี้สิทธิของผู้ส่งจะตกเป็นของผู้รับตราส่งต่อเมื่อสินค้าถึงตำบลที่กำหนดไว้และผู้รับตราส่งเรียกให้ส่งมอบแล้วเท่านั้น กรณีที่สินค้าสูญหายระหว่างการรับขน สิทธิของผู้ส่งหาตกเป็นของผู้รับตราส่งไม่ได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1748/2522 ระหว่างนายสมชีพ พันธุ์เสวี โจทก์ ห้างหุ้นส่วนจำกัดทุ่งสงนครขนส่ง กับพวก จำเลย ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องจำเลยฎีกาว่า ในคำฟ้องของโจทก์อ้างว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์ในการกระทำอันเป็นละเมิดของจำเลย จำเลยจึงชอบที่จะยกเรื่องกรรมสิทธิ์มาต่อสู้ได้และสินค้าคือหีบห่อที่โจทก์อ้างว่าบรรจุสินค้าพลอยได้ส่งถึงปลายทางแล้ว ผู้รับตราส่งได้เรียกให้ส่งมอบแล้ว สิทธิทั้งหลายของผู้ส่งอันเกิดแต่สัญญารับขนย่อมตกไปได้แก่ผู้รับตราส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627แล้ว เห็นว่า แม้ฟ้องโจทก์จะกล่าวในตอนท้ายว่าการกระทำละเมิดของจำเลยทำให้โจทก์ไม่ได้รับเงินจากลูกค้า แต่เมื่ออ่านคำฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้วเห็นได้ว่าฟ้องโจทก์มุ่งจะให้จำเลยรับผิดตามสัญญารับขน โดยได้อ้างว่าจำเลยประกอบธุรกิจขนส่งสินค้า โจทก์ได้มอบสินค้าพลอยเจียระไนให้จำเลยส่งไปให้แก่ลูกค้าของโจทก์ในประเทศญี่ปุ่นตราใบตราส่งท้ายฟ้อง ซึ่งในใบตราส่งนั้นก็ได้ระบุข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการส่งสินค้าตลอดจนค่าขนส่งที่โจทก์ได้จ่ายให้จำเลย ทั้งฟ้องโจทก์ก็ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างใดฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญารับขนนั้นจึงเป็นการชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้ส่งสินค้าคือหีบห่อถึงปลายทางและผู้รับตราส่งได้เรียกให้ส่งมอบแล้ว สิทธิทั้งหลายจึงตกไปยังผู้รับตราส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้รับกันว่าสินค้าที่จำเลยรับขนคือพลอย หาใช่หีบห่อหรือกล่องที่ใส่พลอยไม่เมื่อพลอยส่งไปไม่ถึงลูกค้าของโจทก์ คงมีแต่หีบห่อหรือกล่องเปล่าเช่นนี้ จะถือว่าของส่งถึงตำบลที่กำหนดให้ส่งแล้วตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 หาได้ไม่
จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะนับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบสินค้าให้จำเลยในฐานะผู้ขนส่ง จนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปีแล้วฟ้องโจทก์ จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 624เห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยได้ส่งมอบสินค้าให้ผู้รับตราส่งหรือตัวแทนผู้รับตราส่งหรือวันที่ควรจะส่งมอบสินค้าให้ผู้รับตราส่ง ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงแตกต่างไปจากที่จำเลยเคยให้การต่อสู้คดีไว้ หาใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ ทั้งนี้ตามบทบัญญัติของมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมนั้นพิเคราะห์คำฟ้องคำให้การของโจทก์และจำเลยโดยละเอียดแล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยไม่สามารถขนส่งสินค้าของโจทก์ไปให้ลูกค้าของโจทก์ได้ตามสัญญาเพราะสินค้าสูญหายไป ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาในคำฟ้องนั้น ก็คือราคาสินค้าตามที่กำหนดไว้ในใบกำกับสินค้า หากจำเลยเห็นว่าราคาที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินไปหรือรวมกำไรเข้าไว้ด้วยจำเลยก็อาจให้การต่อสู้และนำสืบให้เห็นเช่นนั้นได้ดังที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้แล้ว โจทก์หาจำต้องระบุรายละเอียดในคำฟ้องว่าราคาสินค้าที่เรียกร้องเป็นราคาต้นทุนเท่าใดกำไรเท่าใด ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาต่อไปมีว่าจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใดจำเลยฎีกาว่า ผู้รับตราส่งได้รับหีบห่อบรรจุสินค้าในสภาพเรียบร้อย การบรรจุลงหีบห่อเป็นเรื่องของโจทก์และเจ้าหน้าที่ศุลกากร จำเลยมิได้รู้เห็นด้วย จำเลยรับสินค้ามาในสภาพที่อยู่ในหีบห่อเรียบร้อยและจำเลยไม่มีสิทธิและหน้าที่จะตรวจสอบความมีอยู่จริงและความถูกต้องของสินค้า จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ตามใบตราส่งทั้งสองฉบับนี้จะเห็นได้ว่า จำเลยรับขนส่งสินค้าซึ่งระบุชัดเจนว่าเป็นพลอย เป็นสินค้ามีค่า ได้กำหนดราคาสินค้าไว้และได้มีการเสียค่าขนส่งพิเศษสำหรับสินค้ามีค่าด้วย จำเลยจึงมีหน้าที่ที่จะต้องขนส่งพลอยตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งไปให้ผู้รับตราส่งตามที่ได้ให้สัญญาไว้แก่โจทก์ หน้าที่ของจำเลยมิใช่มีเพียงแต่ขนส่งกล่องสินค้าโดยไม่ต้องคำนึงว่าสินค้าในกล่องจะมีอยู่หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงรับกันว่าสินค้าสูญหายไปไม่ถึงผู้รับตราส่ง จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามบทบัญญัติของมาตรา 616 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เว้นแต่จำเลยจะพิสูจน์ได้ว่า การสูญหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดแต่สภาพแห่งของนั้นเองหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ส่งหรือผู้รับตราส่ง ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยรับสินค้ามาในสภาพที่อยู่ในหีบห่อเรียบร้อย โจทก์และเจ้าหน้าที่ศุลกากรเป็นผู้บรรจุสินค้าลงในหีบห่อ จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่มีสิทธิและหน้าที่จะตรวจสอบ เป็นทำนองโต้แย้งว่าสินค้าไม่ได้บรรจุลงในหีบห่อหรือเป็นความผิดของโจทก์เองนั้นเห็นว่า เมื่อจำเลยทำสัญญารับขนพลอยให้โจทก์ จำเลยมีหน้าที่ตามสัญญาจะต้องส่งพลอยให้ถึงลูกค้าของโจทก์ดังได้วินิจฉัยไว้แล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องขนขวายตรวจสอบดูให้แน่นอนว่าสินค้าที่รับมอบมานั้นตรงกับที่ตนได้ทำสัญญารับขนหรือไม่ จำเลยจะปัดความรับผิดโดยอ้างว่าตนไม่มีสิทธิและหน้าที่ตรวจสอบหาได้ไม่ทั้งคำให้การของจำเลยก็ยอมรับว่าได้ทำสัญญารับขนพลอยตามรายการที่โจทก์ฟ้องแต่อ้างว่าได้ส่งสินค้าไปถึงจุดหมายปลายทางเรียบร้อยแล้วไม่มีการสูญหาย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงขัดแย้งกับคำให้การดังกล่าว ดังที่ศาลอุทธรณ์ได้ยกขึ้นวินิจฉัยว่าการที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยรับสินค้าของโจทก์ในลักษณะหีบห่อมิได้รู้เห็นในการบรรจุสินค้า จำเลยไม่ต้องรับผิด เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นเพราะจำเลยให้การรับว่าได้รับจ้างขนพลอยของโจทก์ตามฟ้องจริง ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ เพียงใดค่าเสียหายนี้ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ตามราคาสินค้าที่โจทก์เรียกร้องโดยรวมกำไรและค่าขนส่งด้วย จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายส่วนที่เป็นกำไรเพราะไม่ได้บอกให้จำเลยทราบ และราคาที่ระบุในใบกำกับสินค้านั้นเป็นราคาซีไอเอฟซึ่งรวมค่าประกันภัย ค่าสินค้าและค่าขนส่งไว้ด้วย เห็นว่า แม้ราคาสินค้าที่โจทก์เรียกจากจำเลยจะรวมกำไร ค่าประกันภัยและค่าขนส่งด้วย แต่ก็เป็นราคาสินค้าที่โจทก์ขายให้แก่ผู้ซื้อ โดยโจทก์มีสิทธิจะได้รับราคาสินค้าจำนวนนี้หากมีการขนส่งสินค้าถึงมือผู้ซื้อ ราคาจำนวนนี้ก็ได้ระบุไว้ในใบตราส่งสินค้า ซึ่งถือเป็นเสมือนสัญญารับขนระหว่างโจทก์จำเลย และจำเลยทราบดีอยู่แล้ว ทั้งจำเลยก็ไม่ได้นำสืบหักล้างว่าโจทก์ไม่ได้เสียหายตามจำนวนดังกล่าว จำเลยเพียงแต่กล่าวในฎีกาลอย ๆ ว่าจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์ไม่เกินสำนวนละ 500,000บาทเท่านั้น ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้ตามที่โจทก์เรียกร้องมานั้นจึงเป็นการชอบแล้ว
พิพากษายืน