คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2826/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นลูกค้าของโจทก์ได้ซื้อหุ้นของโจทก์และทำสัญญากู้ยืมเงิน จากโจทก์มาชำระค่าหุ้นโดยจำเลยนำ ตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ยึดไว้เป็น หลักประกันในการกู้ยืมเงิน ดังกล่าวเท่านั้น กรณีมิใช่โจทก์รับจำนำหุ้น ของตนไว้เป็นประกัน นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นไป โดยชอบด้วยกฎหมาย หาตกเป็นโมฆะไม่ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ตามสัญญากู้ยืมเงินนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ตกลงให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นให้โจทก์ได้จัดการให้ตามความประสงค์หลายคราว เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้ว จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน230,848 บาท ขอให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยตกลงให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เพียงแต่เคยสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้น 50 หุ้นของโจทก์ โดยทำสัญญากู้ยืมไว้เป็นการชำระหนี้ค่าหุ้นเป็นเงิน 118,974 บาท แต่สัญญานี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยยังมีตั๋วสัญญาใช้เงินรายอื่นอยู่ที่โจทก์อีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 190,458.89 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์ตกเป็นโมฆะเพราะจำเลยเอาหุ้นของโจทก์เองจำนำหรือวางไว้เป็นประกันต่อโจทก์ เป็นการต้องห้ามและเป็นความผิดตามกฎหมาย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่าจำเลยให้การรับว่า ได้ซื้อหุ้นของโจทก์และทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์มาชำระค่าหุ้นตามสัญญากู้ยืมเอกสารหมาย จ.6 จริง ปัญหาที่ว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ตามจำนวนที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.6 หรือไม่ ย่อมยุติแล้วตามคำรับของจำเลย ซึ่งตามฟ้องและทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยได้นำหุ้นที่ซื้อจากโจทก์จำนำหรือวางไว้เป็นประกันการกู้ยืมเงินจากโจทก์คงได้ความแต่เพียงว่าจำเลยนำตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.7 ให้โจทก์ยึดไว้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินดังกล่าวเท่านั้นกรณีมิใช่โจทก์รับจำนำหรือเอาหุ้นของตนไว้เป็นประกัน นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย หาตกเป็นโมฆะไม่ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินนั้น และได้ความตามสัญญากู้ยืมเอกสารหมาย จ.6 ว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 118,974 บาท ตกลงคิดดอกเบี้ยให้ในอัตราร้อยละ 13 ต่อปี นับแต่วันกู้ยืมจำเลยไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์เลย เมื่อคิดถึงวันที่โจทก์ถูกเพิกถอนใบอนุญาตหยุดกิจการและชำระบัญชี คือวันที่ 7 สิงหาคม 2522 เป็นเวลา 8 เดือน21 วัน จำเลยค้างชำระดอกเบี้ย 11,213 บาท 28 สตางค์ รวมกับเงินต้นแล้วคงเป็นหนี้โจทก์ 130,187 บาท 28 สตางค์ แต่จำเลยมีตั๋วสัญญาใช้เงินอยู่กับโจทก์คิดเป็นเงิน 100,000 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12.6 ต่อปี นับแต่วันที่ลงในตั๋วสัญญาใช้เงินคือวันที่ 23 พฤศจิกายน 2521 ถึงวันที่โจทก์หยุดกิจการและชำระบัญชีคิดเป็นเวลา 8 เดือน 15 วัน เป็นเงินดอกเบี้ย 8,925 บาท รวมกับเงินต้นแล้วคงเป็นเจ้าหนี้โจทก์ 108,925 บาท หักกลบลบหนี้กันกับจำนวนที่เป็นลูกหนี้โจทก์ จำเลยคงเป็นหนี้โจทก์นับแต่วันที่โจทก์หยุดกิจการและชำระบัญชีเป็นเงิน 21,262 บาท28 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13 ต่อปีจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จสิ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์เสียทั้งสิ้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงิน 21,262 บาท 28 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันที่ 7 สิงหาคม 2522เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ สำหรับค่าขึ้นศาลให้คิดเพียงเท่าที่โจทก์ชนะโดยกำหนดค่าทนายความรวม 4,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share