คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5995/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจ้าหน้าที่ศุลกากรจับกุมโจทก์ในข้อหาพยายามพาของต้องจำกัดออกไปนอกราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากรพุทธศักราช 2469 มาตรา 27 จึงมีอำนาจนำตัวโจทก์และของพิพาทซึ่งเป็นของกลางที่เกี่ยวกับการพยายามกระทำความผิดส่งสถานีตำรวจเพื่อจัดการตามกฎหมาย แม้ต่อมาโจทก์ได้ทำคำร้องขอให้เปรียบเทียบเพื่อไม่ต้องดำเนินคดี โดยขอยกของพิพาทให้เป็นของแผ่นดินก็ตาม แต่ภายหลังโจทก์กลับขอคืนของพิพาทก่อนที่คณะกรรมการเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องจะพิจารณาคำร้องขอให้เปรียบเทียบ มาตรา 102 ทวิถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้มีการเปรียบเทียบต่อไป โจทก์จึงหมดความคุ้มกันในการที่จะถูกดำเนินคดี จำเลยย่อมมีอำนาจยึดของพิพาทไว้เพื่อนำส่งพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการตามมาตรา 20 ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จะเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมพิธีสมรสของหลานสาวและฉลองวันเกิดของโจทก์ โดยเตรียมของขวัญเป็นทองรูปพรรณหลายอย่างซึ่งเป็นของโจทก์และญาติมิตรมูลค่าประมาณ 200,000 บาท ไปมอบให้คู่บ่าวสาวและเป็นของชำร่วยแก่บุตรหลานที่มาอวยพรโจทก์ แต่ในวันเดินทางเจ้าหน้าที่ศุลกากรของจำเลยยึดทรัพย์สินดังกล่าวและกักตัวโจทก์ไว้ โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งการปฏิบัติงานอันมิชอบของเจ้าหน้าที่ของจำเลย แต่จำเลยไม่คืนทรัพย์สินให้โดยอ้างว่าโจทก์ลงนามยกทรัพย์สินให้จำเลยแล้วเจ้าหน้าที่ของจำเลยยึดทรัพย์สินไว้โดยมิชอบขัดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 17 ขอให้จำเลยคืนทรัพย์สินหรือใช้ราคา
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลภาษีอากร ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ของพิพาทเป็นของต้องจำกัด จะนำออกนอกราชอาณาจักรได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตตามกฎหมายมิฉะนั้นผู้นำออกมีความผิดตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรพุทธศักราช 2496 โจทก์ไม่ขออนุญาตและลักลอบจะนำออกนอกราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจพบจึงจับโจทก์และยึดของพิพาทไว้เป็นของกลางโดยชอบ ต่อมาโจทก์ทำคำร้องขอให้เปรียบเทียบและงดการฟ้องร้องโดยยอมยกของพิพาทให้เป็นของแผ่นดิน หลังจากนั้นโจทก์แสดงเจตนาใหม่เป็นไม่ยกให้ คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเปรียบเทียบ ของพิพาทจึงยังเป็นของกลางในคดีอาญาโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน
ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลางได้และฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม แต่จำเลยมีอำนาจยึดของพิพาทได้เพราะการเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ของพิพาทมีถึง 45 รายการราคาประมาณ 100,000 บาท มากเกินกว่าที่จะเป็นของใช้ส่วนตัวโจทก์แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ของจำเลยหลังถูกตรวจค้นว่า โจทก์จะนำของพิพาทไปประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นของขวัญและแจกญาติ และเบิกความรับว่าไม่ได้ขออนุญาตนำของพิพาทออกนอกราชอาณาจักรเจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงมีเหตุจะจับกุมโจทก์ในข้อหาพยายามพาของต้องจำกัดออกไปนอกราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 27 และนำส่งสถานีตำรวจพร้อมด้วยของพิพาทซึ่งเป็นของกลางที่เกี่ยวกับการพยายามกระทำผิดเพื่อจัดการตามกฎหมาย แม้ต่อมาโจทก์ทำคำร้องขอให้จำเลยเปรียบเทียบเพื่อให้ระงับไปโดยมิต้องดำเนินคดี โดยขอยกของพิพาทให้เป็นของแผ่นดินและระหว่างที่เรื่องกำลังรอให้คณะกรรมการเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องพิจารณาตามมาตรา 102 ทวิ อยู่นั้น โจทก์มีหนังสือขอให้คืนของพิพาท ถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้มีการเปรียบเทียบเพื่อให้เรื่องระงับไป โจทก์จึงหมดความคุ้มกันในการที่จะถูกดำเนินคดีต่ดไปในความผิดดังกล่าว จำเลยมีอำนาจยึดของพิพาทไว้เพื่อนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไปตามมาตรา 20…”
พิพากษายืน.

Share