คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4441/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินด้วยกันฉัน สามีภริยาและทำงานอยู่ที่เดียวกัน จำเลยเป็นผู้ซื้อสร้อยคอทองคำให้ผู้เสียหาย บางครั้งจำเลยก็นำไปใช้เอง วันเกิดเหตุจำเลยทราบว่าผู้เสียหายจะไปเที่ยวจึงได้ไปพูดห้ามปราม ผู้เสียหายไม่ยอมเชื่อ จึงเกิดการโต้เถียง กัน จำเลยโมโหจึงดึง สร้อยคอที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดและเอาสร้อยนั้นไป แสดงว่าจำเลยเอาสร้อยไปเพื่อต้องการมิให้ผู้เสียหายนำสร้อยติดตัวไปด้วยเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตอันจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ จำเลยดึง สร้อยที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดแล้วผลักผู้เสียหายเซ ไปผู้เสียหายมีบาดแผลเพราะโดน เล็บ ที่หน้าอกแต่โลหิตไม่ไหลเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ ตาม ป.อ. มาตรา 391 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งรวมการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ในตัว ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายดังกล่าวได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยชิงสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้าย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 กับขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา339 วรรคหนึ่ง จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ผู้เสียหายได้รับสร้อยคอคืนแล้ว คำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ผู้เสียหายและจำเลยต่างทำงานอยู่ที่โรงงานของบริษัทอเมริกันเท็กซ์ไทล์ จำกัด ด้วยกัน วันเกิดเหตุจำเลยทราบว่าผู้เสียหายจะไปเที่ยว จึงเข้าไปพบผู้เสียหายและพูดห้ามไม่ให้ผู้เสียหายไปเที่ยว ผู้เสียหายไม่ยอมจะไปให้ได้จึงเกิดโต้เถียงกันด้วยความโมโหเมื่อผู้เสียหายไม่ยอมเชื่อฟัง จำเลยจึงดึงเอาสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดและเอาสร้อยคอนั้นไป การที่จำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหาย จำเลยเป็นผู้ซื้อสร้องคอดังกล่าวให้ผู้เสียหาย บางครั้งจำเลยก็นำไปใส่เองด้วย เชื่อว่าเจตนาของจำเลยเพียงแต่ไม่ต้องการให้ผู้เสียหายนำสร้อยคอทองคำใส่ติดตัวไปด้วยเท่านั้น ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเอาสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายใส่อยู่ไปโดยเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ตามฟ้องโจทก์ ฎีกาโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตามฟ้องฟังไม่ขึ้น แต่ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า เมื่อจำเลยเข้าไปดึงสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดแล้ว จำเลยยังได้ผลักผู้เสียหายเซไปถูกรถด้วย ผู้เสียหายมีบาดแผลโดนเล็บที่บริเวณหน้าอกแต่โลหิตไม่ไหล การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้เสียหายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งรวมการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ในตัวศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายดังกล่าวได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา391 ปรับ 400 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงปรับ 200 บาท ค่าปรับหากจำเลยไม่ชำระให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”.

Share