แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาทนั้น เมื่อโจทก์เรียกค่าเสียหายมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่ มิได้เรียกมาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่น และขณะยื่นคำฟ้องปรากฏว่าอาคารพิพาทมีค่าเช่าไม่ถึงเดือนละ 2,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เช่นเดียวกับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยจะได้ทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับเจ้าของอาคารซึ่งได้เลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของอาคารโดยขณะนั้นโจทก์ยังเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทอยู่จำเลยจึงหาอาจยกสัญญาเช่าของจำเลยมาเป็นข้อต่อสู้ไม่ยอมออกจากอาคารพิพาทที่จำเลยอาศัยอยู่โดยสิทธิของโจทก์ได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ให้จำเลยอาศัยห้องเลขที่ 56 ซึ่งโจทก์เช่ามาจากสำนักกานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพื่อเปิดกิจการของจำเลย ต่อมาโจทก์บอกให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากห้องดังกล่าว แต่จำเลยไม่ขนย้าย โจทก์ขอคิดค่าเสียหายจากการที่ไม่ได้ใช้อาคารเดือนละ 20,000 บาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากอาคารเลขที่ 56 และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากอาคารพิพาท
จำเลยให้การว่ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่ได้อาศัยโจทก์อยู่ในห้องพิพาท แต่ได้เช่าจากโจทก์โดยไม่มีกำหนดระยะเวลา โจทก์ไม่ได้บอกเลิกการเช่า ทั้งเจ้าของอาคารพิพาทได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องค่าเสียหายโจทก์เรียกมาสุงกว่าความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยออกไปจากห้องพิพาท ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 9,000 บาทแก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากห้องพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้คดีนี้โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ20,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากอาคารพิพาทก็ตามแต่โจทก์มิได้เรียกร้องค่าเสียหายนี้มาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่น คงเรียกมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทเท่านั้น เมื่อได้ความว่าในขณะยื่นคำฟ้องสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้โจทก์เช่าเดือนละ 400บาท ตามสัญญาเช่าอาคารพิพาทที่สำนักกานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ส่งมาตามที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียก และยังปรากฏจากสำเนาสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่จำเลยอ้างมาท้ายฎีกาอีกด้วยว่า อาคารพิพาทมีอัตราค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาทดังนั้น การที่โจทก์ให้จำเลยอาศัยและฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากห้องซึ่งอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ2,000 บาท จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่จำเลยฎีกาว่าพนักงานบริษัทโจทก์เป็นผู้เก็บค่าเช่าอาคารพิพาทจากจำเลยและได้เซ็นชื่อไว้ในเอกสารจึงเป็นหลักฐานแสดงว่าโจทก์ให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่ข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ และที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ตั้งฝแต่วันฟ้องถึงวันที่จำเลยได้ทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 เช่นเดียวกันศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สัญญาเช่าอาคารพิพาทระหว่างจำเลยกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กระทำขึ้นภายหลังที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาซึ่งโจทก์ยืนยันอยู่ว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ยังไม่ได้บอกเลิกการเช่าอาคารพิพาทกับโจทก์ โจทก์ยังคงเป็นผู้เช่าอยู่ ดังนั้น จำเลยจะยกสัญญาเช่าดังกล่าวมาเป็นเหตุลบล้างสัญญาเช่าอาคารพิพาทระหว่างโจทก์กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งยังมีปัญหาว่าได้เลิกสัญญากันแล้วหรือไม่ และนำสัญญาเช่าอาคารพิพาทระหว่างจำเลยกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาเป็นข้อต่อสู้ไม่ยอมออกจากอาคารพิพาทที่จำเลยได้เข้าอยู่โดยอาศัยสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ก่อนสัญญาดังกล่าวหาได้ไม่
พิพากษายืน.