คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4037/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นไต่สวนคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถา โจทก์และจำเลยต่างระบุสำนวนคดีที่เคยฟ้องร้องกันมาก่อนเป็นพยาน โดยจำเลยขอให้ศาลนำคดีดังกล่าวมารวมกับคดีนี้เพื่อประกอบการซักค้านด้วย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว และได้นำข้อเท็จจริงตามสำนวนคดีดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัยและยกคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ดังนี้ เห็นได้ว่าสำนวนคดีก่อนนั้นได้เข้าสู่สำนวนคดีนี้ตั้งแต่ชั้นไต่สวนคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัย ศาลจึงงดชี้สองสถานและงดสืบพยาน แล้วหยิบยกเอาข้อเท็จจริงในสำนวนคดีก่อนมาประกอบการวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ในชั้นพิจารณาได้ไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานนอกสำนวน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์พิพาทคืนจากจำเลยโดยอ้างเหตุว่า ฝากไว้กับจำเลยเป็นการชั่วคราว คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาฟังว่าโจทก์โอนทรัพย์พิพาทให้จำเลยเนื่องในการสมรสคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวนี้ ย่อมผูกพันโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีก่อนนั้นแม้คดีนี้ โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์พิพาทคืนจากจำเลยโดยอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่า ยกให้โดยเสน่หา และขอถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณคดีก็ต้องฟังตามคำพิพากษาคดีก่อนว่า โจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยเนื่องในการสมรส เพิกถอนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 535(4)โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องศาลจึงชอบที่จะวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายได้ โดยไม่จำต้องชี้สองสถานและสืบพยานต่อไป.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลฎีกามีคำสั่งให้รวมการพิจารณา
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยเป็นบุตรของโจทก์กับ จ.ครั้น จ. ถึงแก่กรรมโจทก์ได้สมรสใหม่กับ ล. และยกที่ดินรวม6 โฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยโดยเสน่หา ต่อมาโจทก์ยากไร้จำเลยไม่ยอมอุปการะ หมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้เสียชื่อเสียง ไม่ยอมให้ทรัพย์สินซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเลี้ยงชีวิต ขอให้ศาลพิพากษาถอนคืนการให้
ระหว่างไต่สวนคำร้องของโจทก์ที่ขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถา โจทก์ได้มรณะ เด็กชาย ส. โดย ล. มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม ซึ่งเป็นทายาทของผู้มรณะขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เคยฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยตามคดีหมายเลขแดงที่ 16884/2523คดีถึงที่สุดโดยศาลฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยเนื่องในการสมรส ย่อมผูกพันคู่ความคดีนี้โจทก์ฟ้องขอถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ คดีไม่มีมูลจะฟ้องร้องให้ยกคำร้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
โจทก์ได้ชำระค่าขึ้นศาล ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ทั้งสองสำนวน
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า โจทก์มีฐานะดี ไม่เป็นคนยากไร้จำเลยไม่เคยประพฤติเนรคุณ โจทก์ให้ทรัพย์พิพาทในการสมรส โจทก์เคยฟ้องเรียกคืนจากจำเลยครั้งหนึ่งแล้ว คดีถึงที่สุดว่าเป็นการให้ในการสมรส คำพิพากษาดังกล่าวผูกพันโจทก์ โจทก์ฟ้องขอถอนคืนการให้ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นให้งดชี้สองสถาน และพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในสำนวนแรก และให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในสำนวนหลัง
โจทก์ในสำนวนแรกและจำเลยในสำนวนหลังฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์และจำเลยข้อแรกว่า ที่ศาลยกข้อเท็จจริงตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่16884/2523 ของศาลชั้นต้นมาวินิจฉัยในคดีนี้ เป็นการนำข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานนอกสำนวนมาวินิจฉัย ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในชั้นไต่สวนคำร้องของโจทก์ที่ขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถา โจทก์และจำเลยต่างก็ยื่นบัญชีพยานระบุอ้างสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 16884/2523 ของศาลชั้นต้นเป็นพยาน และจำเลยยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นนำสนวนคดีดังกล่าวมารวมกับคดีสองสำนวนนี้เพื่อประกอบการซักค้านพยานโจทก์ ซึ่งโจทก์เบิกความรับว่าเคยฟ้องเรียกทรัพย์พิพาทในคดีสองสำนวนนี้จากจำเลยมาครั้งหนึ่งแล้ว ตามคดีหมายเลขแดงที่ 16884/2523 ของศาลชั้นต้นในชั้นไต่สวนคำร้องของโจทก์ที่ขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นได้นำสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 16884/2523 ของศาลชั้นต้นมาประกอบการวินิจฉัยว่า คำพิพากษาคดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ยกทรัพย์พิพาทในคดีสองสำนวนนี้ให้จำเลยเนื่องในการสมรสแล้วโจทก์จะฟ้องขอถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 535 (4) คดีของโจทก์จึงไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง จึงเห็นได้ว่า สำนวนคดีหมายเลขแดงที่16884/2523 ของศาลชั้นต้น ได้เข้ามาสู่สำนวนคดีนี้ตั้งแต่ชั้นไต่สวนคำร้องของโจทก์ที่ขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยพยานหลักฐานแล้ว ศาลชอบที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงในสำนวนคดีดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัยคดีนี้ในชั้นพิจารณาได้ หาใช่เป็นการฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานนอกสำนวนดังที่โจทก์ฎีกาไม่
ปัญหาตามฎีกาของโจทก์และจำเลยข้อต่อไปมีว่า คำพิพากษาศาลฎีกาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 16884/2523 ของศาลชั้นต้น มีผลผูกพันโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 หรือไม่ เมื่อคำพิพากษาดังกล่าวมีผลผูกพันโจทก์ ศาลชอบที่จะวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย โดยไม่จำต้องมีการพิจารณาคดีต่อไปอีกได้หรือไม่นั้น เห็นว่า โจทก์และจำเลยต่างเป็นคู่ความในคดีหมายเลขแดงที่ 16884/2523 ของศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์พิพาทในคดีสองสำนวนนี้คืนจากจำเลย โดยอ้างเหตุว่าได้ฝากทรัพย์พิพาทไว้กับจำเลยเป็นการชั่วคราว จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์โอนทรัพย์พิพาทให้จำเลยเนื่องในการสมรส แม้คดีดังกล่าวศาลจะกำหนดประเด็นว่า การที่โจทก์โอนที่ดินเป็นชื่อจำเลยพร้อมทั้งมอบทรัพย์สินให้นั้น เป็นการฝากให้ถือกรรมสิทธิ์และครอบครองแทนชั่วคราวจนกว่าโจทก์จะพ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์จริงหรือไม่ ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า ประเด็นข้อนี้ศาลต้องวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นดังที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง หรือเป็นการโอนทรัพย์พิพาทให้จำเลยเนื่องในการสมรสตามที่จำเลยให้การต่อสู้เป็นประเด็นข้อพิพาทนั้นเอง ศาลฎีกาวินิจฉัยคดีดังกล่าวโดยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยเนื่องในการสมรส จึงตรงตามประเด็นข้อพิพาท เมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดโดยศาลฎีกาฟังว่าโจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยเนื่องในการสมรส คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 แม้โจทก์จะฟ้องคดีสองสำนวนนี้โดยอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าโจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยโดยเสน่หา และเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณซึ่งจำเลยคงให้การต่อสู้ว่าโจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยเนื่องในการสมรส เมื่อคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 16884/2523 ของศาลชั้นต้นถึงที่สุด โดยศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยเนื่องในการสมรส คดีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าว ซึ่งมีผลผูกพันโจทก์ ว่าโจทก์ยกทรัพย์พิพาทสองสำนวนนี้ให้จำเลยเนื่องในการสมรส ดังนั้น โจทก์จึงฟ้องขอถอนคืนการให้ทรัพย์พิพาทเพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 535 (4) เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีสองสำนวนนี้ ศาลก็ชอบที่จะวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายโดยไม่จำต้องดำเนินการชี้สองสถานและสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในสำนวนหลัง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษายืนในสำนวนแรก ส่วนสำนวนหลังพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์.

Share