คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3679/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจ้างแรงงานกำหนดว่ากรณีที่ลูกจ้างฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามสัญญา ลูกจ้างยินยอมให้ผู้ว่าจ้างริบเงินประกันได้ทันทีโดยให้คำมั่นว่าจะไม่เรียกร้องประการใดจากนายจ้าง จึงเป็นข้อสัญญาซึ่งกำหนดบังคับในลักษณะเป็นเบี้ยปรับอันมีจำนวนเท่ากับเงินประกันที่วางไว้ล่วงหน้าเป็นเงิน 2,100 บาทนั้น เมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้างภายในระยะเวลาทดลองงาน 180 วัน เพราะเหตุที่ทำผิดต่อระเบียบข้อบังคับของโรงพยาบาลจำเลยเป็นการฝ่าฝืนสัญญาจ้างแรงงาน จำเลยมีสิทธิริบเงินประกันในฐานะเป็นเบี้ยปรับได้ตามสัญญา แต่เบี้ยปรับเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายซึ่งหากสูงเกินกว่าที่เสียหายจริงศาลย่อมลดลงได้ ปรากฏว่าความเสียหายที่จำเลยได้รับคิดเป็นเงิน 100 บาท ดังนั้นนายจ้างย่อมมีสิทธิริบเงินประกันไว้ได้เพียง 100 บาท ส่วนที่เกินต้องคืนให้ลูกจ้าง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นพนักงานทำสวนที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท โจทก์ได้วางเงินค้ำประกันความเสียหายไว้กับจำเลยเป็นเงิน 2,100 บาทโดยจำเลยสัญญาว่าจะคืนให้เมื่อโจทก์ออกจากงานต่อมาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2529 จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าโจทก์ขาดงานติดต่อกันเกินกว่า 3 วันทำงาน โจทก์จึงขอเงินค้ำประกันคืน ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินค้ำประกันจำนวน 2,100 บาทพร้อมกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างโดยให้โจทก์ทดลองงานในตำแหน่งพนักงานทำสวนและโจทก์ได้วางเงินประกันความเสียหายไว้เป็นเงิน 2,100 บาทต่อมาโจทก์ขาดงานละทิ้งหน้าที่ติดต่อกันเป็นเวลา 4 วันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นความผิดตามข้อบังคับของจำเลย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์การที่โจทก์กระทำผิดดังกล่าวเป็นการผิดสัญญาการจ้างงานซึ่งจำเลยมีสิทธิริบเงินประกันของโจทก์นอกจากนี้การที่โจทก์หยุดงานทำให้ต้นไม้ของจำเลยซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของโจทก์กับพวกเหี่ยวเฉาจำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาให้คงสภาพเดิมเป็นเงิน 2,500 บาทซึ่งโจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลย ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 2,500 บาทแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งด้วยวาจาว่าโจทก์กับนายธรรมนูญ ชินพงศ์ลูกจ้างของจำเลยอีกคนหนึ่งร่วมกันเป็นผู้ดูแลรักษาสวนของจำเลยโจทก์มีหน้าที่รดน้ำต้นไม้และกระถางต้นไม้ซึ่งอยู่ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงชั้นที่ 9 นอกจากนั้นเป็นหน้าที่ของนายธรรมนูญแต่ถ้าคนหนึ่งคนใดไม่อยู่หรือขาดงานอีกคนหนึ่งก็จะช่วยทำแทน จำเลยจึงไม่ได้รับความเสียหายขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินประกันจำนวน 2,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 20พฤศจิกายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์และจำเลยนอกนั้นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อเดียวว่าจำเลยมีสิทธิริบเงินประกันของโจทก์ในฐานะที่เป็นเบี้ยปรับหรือไม่ พิเคราะห์แล้วตามสัญญาการจ้างงานข้อ 11. มีข้อความดังนี้ ‘ข้อ 11. ผู้ว่าจ้างตกลงกับลูกจ้างว่าจะคืนเงินประกันความเสียหายให้กับลูกจ้างดังนี้
11.1 เมื่อลูกจ้างถูกเลิกจ้างภายในระยะเวลาทดลองงานหนึ่งร้อยแปดสิบวันโดยมิได้กระทำความผิดตามระเบียบของทางโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
11.2 เมื่อลูกจ้างได้ปฏิบัติงานให้กับผู้ว่าจ้างครบตามสัญญาการจ้างงานนับแต่วันที่ลูกจ้างได้เข้าทำงานตามสัญญานี้
11.3 ภายในเงื่อนไขของข้อ 11.1 และ 11.2 ลูกจ้างต้องไม่ทำให้ทรัพย์สินของผู้ว่าจ้างเสียหายไม่ว่ากรณีใด ๆ ในระหว่างการจ้างงาน
หากมีความเสียหายเกิดขึ้นอันอยู่ในความรับผิดชอบตามหน้าที่ของลูกจ้างไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา ประมาทเลินเล่อลูกจ้างยินยอมให้ผู้ว่าจ้างหักค่าเสียหายออกจากเงินประกันได้ทันทีโดยปราศจากข้อโต้แย้ง
ลูกจ้างที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อ 11 นี้ลูกจ้างยินยอมให้ผู้ว่าจ้างริบเงินประกันตามข้อ 2 ได้ทันทีโดยลูกจ้างให้คำมั่นว่าจะไม่เรียกร้องประการใด ๆ ทั้งสิ้น’ ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวได้กำหนดกรณีที่ลูกจ้างฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามสัญญา ลูกจ้างยินยอมให้ผู้ว่าจ้างริบเงินประกันได้ทันทีโดยให้คำมั่นว่าจะไม่เรียกร้องประการใดจากนายจ้างจึงเป็นข้อสัญญาซึ่งกำหนดบังคับในลักษณะเป็นเบี้ยปรับอันมีจำนวนเท่ากับเงินประกันที่วางไว้ล่วงหน้าเป็นเงิน 2,100 บาทนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ถูกเลิกจ้างภายในระยะเวลาทดลองงานหนึ่งร้อยแปดสิบวันเพราะเหตุที่ทำผิดต่อระเบียบข้อบังคับของโรงพยาบาลจำเลย การกระทำผิดของโจทก์จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนสัญญาจ้างงานข้อ 11 (1) จำเลยมีสิทธิริบเงินประกันในฐานะที่เป็นเบี้ยปรับได้ตามสัญญาข้อ 11 วรรคสามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าสัญญาการจ้างงานเอกสารหมาย ล.3 มิได้กำหนดเรื่องเบี้ยปรับ จำเลยจึงไม่มีสิทธิริบเงินประกันในฐานะที่เป็นเบี้ยปรับนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น แต่เบี้ยปรับเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายซึ่งหากสูงเกินกว่าที่เสียหายจริงศาลย่อมลดลงได้ ปรากฏว่าศาลแรงงานกลางได้ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติแล้วว่าความเสียหายที่จำเลยได้รับคิดเป็นเงิน 100 บาทดังนั้น จำเลยย่อมมีสิทธิริบเงินประกันไว้ได้เพียง 100 บาทส่วนที่เกินต้องคืนให้โจทก์ไป ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้คืนเงินประกัน 2,000 บาทแก่โจทก์ ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล
พิพากษายืน.

Share