แหล่งที่มา : เนติบัญฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ให้การแก้คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องว่าแม้ผู้ร้องจะได้ตกลงซื้อสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากจำเลยแต่เมื่อยังมิได้ทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้ แต่ในชั้นอุทธรณ์โจทก์กลับอุทธรณ์ว่า สิทธิการเช่าโทรศัพท์เป็นสิทธิเฉพาะตัวการโอนจะต้องได้รับความยินยอมจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยผู้ให้เช่าซึ่งเป็นคนละประเด็นและมิใช่ประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นกับมิใช่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฎีกา
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดสิทธิการเช่าโทรศัพท์หมายเลข 5853777 โดยอ้างว่าเป็นของจำเลยซึ่งความจริงเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องซื้อสิทธิการเช่ามาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2523 ได้ครอบครองใช้ประโยชน์ตลอดมา ขอให้เพิกถอนการยึดและสั่งว่า สิทธิการเช่าโทรศัพท์ดังกล่าวเป็นของผู้ร้องโจทก์ยื่นคำให้การคัดค้าน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยสิทธิการยึดโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่าในศาลชั้นต้นโจทก์ยื่นคำให้การว่าแม้ผู้ร้องจะได้ตกลงซื้อสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากจำเลย แต่เมื่อผู้ร้องยังมิได้ทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยอยู่ตราบใดผู้ร้องจะยกข้อตกลงเรื่องการซื้อสิทธิการเช่ามาเป็นข้อต่อสู้กับโจทก์ไม่ได้ แต่ในขั้นอุทธรณ์กลับอุทธรณ์ว่า สิทธิการเช่าโทรศัพท์เป็นสิทธิเฉพาะตัว การโอนจะต้องได้รับความยินยอมจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยผู้ให้เช่าซึ่งเป็นคนละประเด็นและมิใช่ประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะฎีกา
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์ คืนค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาให้โจทก์ค่าทนายความให้เป็นพับ”