คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3462/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1175 อาจกระทำได้โดยทางใดทางหนึ่งใน 2 ทาง คือ ลงพิมพ์โฆษณาอย่างน้อยสองคราวในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ฉบับหนึ่งก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน หรือส่งทางไปรษณีย์ไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เมื่อจำเลยผู้เป็นกรรมการของบริษัทเลือกลงพิมพ์โฆษณาแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องส่งคำบอกกล่าวทางไปรษณีย์อีกแม้ในการเรียกประชุมใหญ่ครั้งก่อน ๆ จำเลยได้ส่งคำบอกกล่าวทางไปรษณีย์ถึงโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น แต่การเรียกประชุมใหญ่ครั้งนี้จำเลยบอกกล่าวโดยลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ ก็เป็นสิทธิของจำเลยที่จะกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าเป็นการไม่สุจริต
ฎีกาว่าคะแนนเสียงในการประชุมใหญ่วิสามัญมีคะแนนเสียงไม่ถึง3 ใน 4 หรือ 2 ใน 3 ของคะแนนเสียงทั้งหมด เป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยทุกคนเป็นผู้ถือหุ้นบริษัททีพีดรักแลบบอราทอรี่ส์ (1969) จำกัด จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นกรรมการบริษัท ได้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 1/2523 ครั้งที่ 2/2523และครั้งที่ 3/2523 ซึ่งมีระเบียบวาระการเพิ่มทุนของบริษัท แล้วนำผลการประชุมไปขอจดทะเบียนแต่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครไม่รับจดทะเบียนให้โดยแจ้งว่าคำขอจดทะเบียนไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงเรียกประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่4/2523 และครั้งที่ 5/2523 เพื่อพิจารณาเพิ่มทุนของบริษัท โดยลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์สายกลางฉบับลงวันที่ 1 และ 2 ธันวาคม2523 กับฉบับลงวันที่ 15 และ 16 ธันวาคม 2523 ตามลำดับ แทนการส่งหนังสือบอกกล่าว โจทก์ทั้งสี่ไม่ทราบเรื่องการเรียกประชุมทั้งสองครั้งหลังดังกล่าว การประชุมของจำเลยทั้งเจ็ดทั้งสองครั้งดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทำการประชุมเพิ่มทุนของบริษัทโดยไม่ให้โจทก์ทั้งสี่ทราบ จึงเป็นการประชุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมติของที่ประชุมก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้พิพากษาเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นวิสามัญครั้งที่4/2523 และครั้งที่ 5/2523 และห้ามจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท
โจทก์ไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่6 ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ศาลชั้นต้นจึงสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 6
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 และที่ 7 ให้การทำนองเดียวกันว่าโจทก์ทั้งสี่ทราบเรื่องการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญทุกครั้งแต่ไม่เข้าประชุม โจทก์ทั้งสี่ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นของบริษัทแล้ว จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิฟ้องคดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 4/2523 และครั้งที่ 5/2523 และห้ามมิให้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทตามมติของที่ประชุมดังกล่าว
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 และที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1175หมายความว่า คำบอกกล่าวเรียกประชุมอาจกระทำได้โดยทางใดทางหนึ่งใน 2 ทางคือ โดยการลงพิมพ์โฆษณาอย่างน้อยสองคราวในหนังสือพิมพ์ตามที่กฎหมายกำหนด หรือโดยส่งทางไปรษณีย์ไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นจำเลยจึงมีสิทธิเลือกกระทำโดยลงพิมพ์โฆษณาอย่างน้อยสองคราวในหนังสือพิมพ์ท้องที่ฉบับหนึ่งก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และเมื่อจำเลยเลือกกระทำทางนี้แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องส่งคำบอกกล่าวทางไปรษณีย์ไปยังโจทก์หรือผู้ถือหุ้นอื่นอีกตามฟ้องโจทก์เองปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนว่า ในการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 4/2523 และครั้งที่ 5/2523 จำเลยได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์สายกลางสองคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน จำเลยได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1175 โดยถูกต้องครบถ้วนแล้ว แม้ในการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 1/2523 และครั้งที่ 2/2523จำเลยจะได้ส่งคำบอกกล่าวถึงโจทก์แต่จำเลยมาเปลี่ยนเป็นการลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แทนดังกล่าว ก็เป็นสิทธิของจำเลยที่จะกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าเป็นการไม่สุจริตดังที่โจทก์อ้าง การเรียกประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 4/2523 และครั้งที่ 5/2523 จึงเป็นการชอบแล้ว
ส่วนที่โจทก์ที่ 1 ฎีกาว่าคะแนนเสียงในการประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 4/2523 มีคะแนนเสียงไม่ถึง 3 ใน 4 ของคะแนนเสียงทั้งหมดก็ดี และคะแนนเสียงในการประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 5/2523 มีคะแนนเสียงไม่ถึง 2 ใน 3 ของคะแนนเสียงทั้งหมดก็ดีนั้น ปัญหาเหล่านี้มิได้เป็นประเด็นแห่งคดี ไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3ได้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไปในทางการที่จ้างโดยประมาท เฉี่ยวชนรถยนต์บรรทุกคันอื่นจนรถยนต์บรรทุกคันนั้นเสียหลักแฉลบพุ่งเข้าชนราวสะพานของโจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ เพราะได้ขายและโอนสิทธิครอบครองให้จำเลยที่ 2 ไปแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 3 และไม่ได้ขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นฝ่ายขับรถประมาทด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหาย
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องทั้งหมด
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุโดยประมาทแซงเบียดกระแทกชนรถคันที่ถูกแซงไปชนราวสะพานของโจทก์เสียหายตามฟ้อง โดยจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2และขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วย
ข้อที่จะวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ ได้ความจากนายสุรศักดิ์ บุรภัทร์ นายช่างตรวจสภาพรถประจำสำนักงานขนส่งจังหวัดขอนแก่นเบิกความว่า จำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำขอประกอบการขนส่งรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุหมายเลขทะเบียน 80 – 3211 ขอนแก่น ที่เช่าซื้อมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัดชีวินยนต์ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2523 ซึ่งหากไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่ง ก็จะนำรถออกประกอบการขนส่งไม่ได้ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4, จ.5, จ.7 และ จ.8 และจำเลยที่ 3 ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 กฎกระทรวง เงื่อนไข ประกาศคำสั่ง และระเบียบตามที่ใบอนุญาตประกอบการขนส่งได้ระบุไว้โดยเฉพาะตามเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 8 ระบุไว้ชัดแจ้งว่าผู้ขอจะใช้รถสำหรับทำการขนส่งเพื่อการค้าหรือธุรกิจของผู้ขอเท่านั้น จะไม่นำรถหรือยินยอมให้บุคคลอื่นนำรถไปทำการรับจ้างขนส่งสินค้าหรือบุคคลแต่ประการใด แม้จำเลยที่ 3 ได้โอนสิทธิการเช่าซื้อรถดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ไปแล้ว ก็เป็นเรื่องกรรมสิทธิ์ของรถเท่านั้น จำเลยที่ 3 หาได้บอกเลิกการประกอบการขนส่งที่เป็นสิทธิเฉพาะตัวของจำเลยที่ 3 แก่ทางราชการไม่ กลับยินยอมให้จำเลยที่ 2 นำรถยนต์ไปประกอบการขนส่งในชื่อจำเลยที่ 3 ได้อีกต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าจำเลยที่ 3และที่ 2 ร่วมกันประกอบการขนส่งและถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ที่ปฏิบัติการไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดกับจำเลยที่ 1 เช่นเดียวกัน
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น.

Share