แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อความที่จำเลยที่ 1 เขียนลงในบทความทางหนังสือพิมพ์ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการมีใจความว่า โจทก์เทศมนตรีการศึกษาเทศบาลบังอาจใช้อำนาจโยกย้ายหัวหน้าฝ่ายนิเทศกองศึกษาไปอยู่ฝ่ายอื่น และได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่าผู้ถูกย้ายไม่มีความสามารถและไม่เหมาะสมกับงานนิเทศและได้เข็นเอาเมียปลัดเทศบาลซึ่งเป็นครูยืมตัวช่วยราชการขึ้นไปเป็นแทนเป็นเวลาร่วมปีมาแล้วนั้น บัดนี้กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เป็นผลงานที่เกิดจากอคติส่วนตัว เหลิงอำนาจหลงคำเยินยอจากพวกลิ้นสากปากลื่นที่ใกล้ชิด และความมีอายุน้อยด้วยประสบการณ์ของโจทก์เองการศึกษาของเทศบาลต้องตกต่ำเพราะความขัดแย้ง กลั่นแกล้งก้าวก่าย และการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของนักการเมืองต่อข้าราชการประจำ นั้น เป็นข้อความที่ใส่ความโจทก์โดยการโฆษณาด้วยเอกสารอันน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็น หรือติชมด้วยความเป็นธรรมอันจะทำให้จำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเทศมนตรีการศึกษาเทศบาลนครเชียงใหม่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์รายวัน และเป็นผู้เขียนข้อความในคอลัมน์ ‘ข้างตำรา’ ในหนังสือพิมพ์ จำเลยที่ 2เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณา จำเลยที่ 1 เขียนข้อความหมิ่นประมาทโจทก์สรุปใจความได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นเทศมนตรีการศึกษาเทศบาลบังอาจใช้อำนาจโยกย้ายหัวหน้าฝ่ายนิเทศกองศึกษาไปอยู่ฝ่ายอื่น และได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ (ที่บีบคอได้เพราะขายโฆษณาให้) ว่าหัวหน้าฝ่ายนิเทศกองการศึกษาไม่มีความสามารถและไม่เหมาะสมกับงานนิเทศ เป็นการกระทำที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เป็นผลงานที่เกิดจากอคติส่วนตัว เหลิงอำนาจ หลงคำเยินยอจากพวกลิ้นสากปากลื่นที่ใกล้ชิดและความมีอายุน้อยด้วยประสบการณ์ของโจทก์เอง การศึกษาของเทศบาลต้องมาตกต่ำเพราะความขัดแย้งกลั่นแกล้ง ก้าวก่าย และการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของนักการเมืองต่อข้าราชการประจำ งานการศึกษาไม่เหมือนหนังน้ำเน่าที่เอามาหากินกับชาวบ้าน ข้อความดังกล่าวทำให้ประชาชนคนอ่านเกิดความหลงผิดคิดว่าโจทก์ใช้ตำแหน่งหน้าที่เทศมนตรีโดยมิชอบและใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่เป็นธรรมหรืออคติ กลั่นแกล้งข้าราชการประจำ เหลิงอำนาจ หลงคำเยินยอ และไม่มีความสามารถ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง และอาจเป็นการเสียหายแก่ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของธุรกิจโจทก์ จำเลยที่2 ในฐานะบรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณาต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 328
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 เดือน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘จำเลยที่ 1 ได้เขียนข้อความสำคัญว่า โจทก์เทศมนตรีการศึกษาเทศบาลบังอาจใช้อำนาจโยกย้ายอาจารย์บุญเสียงปิ่นสุข หัวหน้าฝ่ายนิเทศกองศึกษาไปอยู่ฝ่ายอื่น และได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ (ที่บีบคอได้ เพราะขายโฆษณาให้) ว่าอาจารย์บุญเสียงไม่มีความสามารถและไม่เหมาะสมกับงานนิเทศ และได้เซ็นเอาเมียปลัดเทศบาลซึ่งเป็นครูยืมตัวช่วยราชการขึ้นไปเป็นแทนเป็นเวลาร่วมปีมาแล้วนั้น บัดนี้กาลเวลาพิสูจน์แล้วว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เป็นผลงานที่เกิดจากอคติส่วนตัว หลงอำนาจ หลงคำเยินยอจากพวกลิ้นสากปากลื่นที่ใกล้ชิดและความมีอายุน้อยด้อยประสบการณ์ของโจทก์เอง การศึกษาของเทศบาลต้องตกต่ำเพราะความขัดแย้งกลั่นแกล้งก้าวก่าย และการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของนักการเมืองต่อข้าราชการประจำและข้อความที่ว่างงานการศึกษาไม่ใช่เหมือนหนังน้ำเน่าที่เอามาหากินกับชาวบ้านศาลฎีกาเห็นว่าข้อความดังกล่าวมีลักษณะเป็นการยืนยันว่า โจทก์ได้กระทำการโยกย้ายอาจารย์โดยบังอาจซึ่งหมายความว่า กระทำการด้วยความทะนงใจหรือฮึกเหิมหรือกระทำการโดยละเมิดต่อกฎหมาย และข้อความที่ว่าการกระทำของโจทก์เกิดจากอคติเป็นส่วนตัวเหลิงอำนาจ หลงคำเยินยอ เพราะมีอายุน้อยด้อยประสบการณ์ก็แสดงว่าโจทก์เอาเรื่องส่วนตัวมาโยกย้ายอาจารย์ด้วยความหลงอำนาจ ด้อยประสบการณ์ อีกทั้งกลั่นแกล้งและใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม จึงเป็นข้อความที่ใส่ความโจทก์โดยการโฆษณาด้วยเอกสารหนังสือพิมพ์ อันน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมด้วยความเป็นธรรม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 เดือน.