แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่าซื้อที่ดินและตึกแถวรายพิพาทจริง โดยทำนิติกรรมขายฝาก แต่โจทก์ให้จดทะเบียนเป็นสัญญาซื้อขายเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาขายฝาก หากเป็นจริงดังจำเลยอ้างสัญญาซื้อขายย่อมตกเป็นโมฆะ บังคับไม่ได้ โจทก์ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทส่วนโจทก์จะได้กรรมสิทธิ์และมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยตามสัญญาขายฝากหรือไม่ เป็นปัญหาที่จะต้องพิจารณาในภายหลัง คดีจำเป็นต้องฟังพยานต่อไป(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2526 จำเลยขายที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทให้โจทก์ในราคา 600,000 บาท จำเลยได้รับชำระเงินไปเรียบร้อยแล้ว จำเลยไม่ออกจากตึกแถวพิพาท เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายโดยอาจนำตึกแถวให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 12,000 บาทรวมเป็นเงิน 60,000 บาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารออกจากตึกแถวพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 60,000บาท กับค่าเสียหายเดือนละ 12,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2527 จนกว่าจะออกจากตึกแถวของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้จดทะเบียนขายที่ดินพร้อมตึกแถวให้แก่โจทก์จริงแต่ความจริงโจทก์จำเลยตกลงจะทำนิติกรรมขายฝาก ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินและตึกแถวพิพาทและให้จำเลยไถ่คืนในราคาเดิม
ชั้นชี้สองสถาน คู่ความต่างสละข้อต่อสู้อื่นทั้งหมด ตลอดจนเรื่องค่าเสียหายคงให้ศาลชี้ขาดเพียงประเด็นเดียวว่า การซื้อขายตามสัญญาที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด หรือว่าเป็นการขายฝากตามข้อต่อสู้ของจำเลย โดยกำหนดให้จำเลยนำสืบก่อน และจำเลยขอถอนฟ้องแย้ง
ก่อนถึงวันนัดสืบพยานจำเลย โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ถึงวันนัดสืบพยานจำเลยศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่าตามข้อต่อสู้ของจำเลยไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทต่อไปเพราะถึงแม้จะฟังว่าสัญญาที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดหรือเป็นสัญญาขายฝากก็ตาม กรรมสิทธิ์ย่อมตกเป็นของโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทต่อไปพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวพิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่เดือนกันยายน 2526 จนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘เห็นว่าคดีนี้จำเลยให้การว่าการซื้อขายที่ดินและตึกแถวรายพิพาทความจริงโจทก์จำเลยตกลงจะทำนิติกรรมขายฝากกัน แต่โจทก์ให้จดทะเบียนเป็นสัญญาซื้อขายไว้เท่ากับยกข้อต่อสู้ว่าสัญญาซื้อขายเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาขายฝากเป็นการกล่าวอ้างว่าสัญญาซื้อขายเกิดจากเจตนาลวงของคู่กรณีโดยคู่กรณีมีเจตนาแท้จริงที่จะทำสัญญาขายฝากกัน หากเป็นความจริงดังจำเลยอ้างสัญญาซื้อขายก็ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 ใช้บังคับไม่ได้ เมื่อสัญญาซื้อขายใช้บังคับไม่ได้ โจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทตามสัญญาซื้อขายส่วนโจทก์จะได้กรรมสิทธิ์และมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยตามสัญญาขายฝากหรือไม่ เป็นปัญหาที่จะต้องพิจารณาในภายหลัง คดีจำเป็นต้องฟังพยานต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่