คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องมีใจความว่า ตำราเรียนภาษาอังกฤษรายพิพาทนั้นโจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ จำเลยปลอมแปลงลอกเลียนออกจำหน่าย เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ดังนี้เป็นการบรรยายฟ้องเรียกค่าเสียหายในการละเมิดลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ.2474 หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่
พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ.2474 มาตรา 24 อันเป็นบทบัญญัติอยู่ในส่วนแพ่ง คือส่วนที่ 4 ว่าด้วยสิทธิแก้ในทางแพ่งซึ่งการละเมิดลิขสิทธิ์บัญญัติว่า “คดีละเมิดลิขสิทธิ์นั้นท่านมิให้ฟ้องเมื่อพ้นสามปีนับแต่วันละเมิด” จึงต้องใช้อายุความสามปีดังกล่าวมาบังคับ จำเลยการทำการละเมิดลิขสิทธิ์คือขายหนังสือที่คัดลอกเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2515 โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2516 คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัดจดทะเบียนตามกฎหมายไทย ปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง จำเลยเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดดำเนินการขายหนังสือ บริษัทลองแมน กรุ๊ป (ตะวันออกไกล) จำกัด จดทะเบียนในประเทศอังกฤษ ได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ ปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง บริษัทลองแมนฯ เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ตำราเรียนภาษาอังกฤษหลายเล่ม ซึ่งเดิมโจทก์ซื้อมาจำหน่ายเองและมีร้านขายหนังสืออื่นรับไปจำหน่าย รวมทั้งร้านจำเลย ต่อมา พ.ศ.๒๕๑๕ บริษัทลองแมนฯ ได้มอบให้โจทก์เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ในปี พ.ศ.๒๕๑๕ โจทก์สังเกตว่าการจำหน่ายตำราเรียน ๓ เล่มชื่อ คอมมอน มิสเทคส์ อิน องก์ลิช, ลิฟวิ่ง อิงก์ลิช สตรัคเจอร์ ฟอร์สกูลส์ และไกเด็ด คอมโพซีชั่น เอกเซอไซเสส ตกต่ำลงไปอย่างผิดสังเกต เมื่อส่งคนออกสืบตลาด จึงทราบว่าที่ร้านของจำเลยจำหน่ายตำราเรียน ๓ เล่มนี้ โดยปลอมแปลงลอกเลียนไปจากตำราเรียนของบริษัทลองแมนฯ จำเลยขายโดยรู้ว่าเป็นวรรณกรรมทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของบริษัทลองแมนฯ ทำให้บริษัทลองแมนฯ เสียหายเพราะจำหน่ายตำราเรียนดังกล่าวไม่ได้คิดเป็นเงิน ๑๑๘,๐๖๑ บาท ๕๐ สตางค์ หนังสือของแท้ ๓ เล่มคือหนังสือหมาย ก.ข.ค. หนังสือปลอม ๓ เล่มคือหนังสือหมาย ง.จ.ฉ.ท้ายฟ้อง จำเลยปลอมแปลงลอกเลียนออกจำหน่ายมีข้อความเหมือนตำราของบริษัทลองแมนฯ ทุกประการ รวมตลอดถึงชื่อและเครื่องหมายการค้าด้วย แต่มีลักษณะแตกต่างเช่นใช้กระดาษคุณภาพเลวกว่า การเย็บเล่มของจริงเย็บถี่ ของปลอมตัดสันทากาวหรือไม่ก็ใช้ลวดธรรมดาเย็บ การพิมพ์ไม่เรียบร้อย ตัวหนังสือและภาพเลอะเลือน สีไม่เหมือนกัน ที่สำคัญคือ จำเลยขายตำราที่จำเลยปลอมแปลงลอกเลียนในราคาต่ำกว่า โจทก์เพิ่งรู้การละเมิดของจำเลยเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๕ จึงรายงานให้บริษัทลองแมนฯ ทราบ และได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ดังกล่าว ขอให้พิพากษาห้ามจำเลยจำหน่ายตำราเรียนภาษาอังกฤษอันละเมิดลิขสิทธิ์ ๓ เล่มตามฟ้อง ให้จำเลยส่งสำเนาจำลองละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งหมดซึ่งมีอยู่ที่จำเลยให้แก่โจทก์ รวมทั้งแม่พิมพ์ที่ได้ใช้ในการทำให้เกิดสำเนาจำลองที่ว่านี้ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๑๑๘,๐๖๑ บาท ๕๐ สตางค์ รวมทั้งค่าเสียหายตามความร้ายแรงแห่งละเมิด ๘๑,๙๓๘ บาท ๕๐ สตางค์ รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์บรรยายฟ้องสับสน จำเลยไม่อาจเข้าใจได้ว่าบริษัทลองแมน กรุ๊ป (ตะวันออกไกล) จำกัด หรือบริษัทสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด เป็นโจทก์กันแน่ ฟ้องของโจทก์จึงเคลือบคลุม โจทก์ไม่มีเอกสารหรือหลักฐานใดแสดงว่านายดับบลิว.เอ.เอช.เบ็คเก็ทท์ และนายเจ.ดี.วิลเลียมสัน เป็นผู้มีอำนาจลงชื่อหรือกระทำการแทนบริษัทลองแมนฯ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตำราเรียนภาษาอังกฤษหมาย ง.จ.ฉ.ท้ายฟ้องไม่ใช่ตำราเรียนซึ่งจำเลยจัดพิมพ์หรือจำหน่าย ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องนั้นไม่มีเหตุผลและไม่เป็นความจริงเป็นข้อเรียกร้องที่เคลือบคลุม ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าบริษัทสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจฟ้อง ฟ้องไม่เคลือบคลุม คดีไม่ขาดอายุความ ส่วนค่าเสียหายเห็นสมควรกำหนดให้เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๑๐๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ ห้ามจำเลยจำหน่ายตำราเรียนภาษาอังกฤษตามฟ้อง และให้จำเลยส่งสำเนาจำลองละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งหมดซึ่งมีอยู่ที่จำเลยแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องมีใจความว่าตำราเรียนภาษาอังกฤษ ๓ เล่มรายพิพาทนั้น โจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จำเลยปลอมแปลงลอกเลียนหนังสือ ๓ เล่มนั้นออกจำหน่ายเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย เช่นนี้ เป็นการบรรยายฟ้องเรียกค่าเสียหายในการละเมิดลิขสิทธิ์ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ.๒๔๗๔ หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ.๒๔๗๔ มาตรา ๒๔ อันเป็นบทบัญญัติอยู่ในส่วนแพ่งคือส่วนที่ ๔ ว่าด้วยสิทธิแก้ในทางแพ่งซึ่งการละเมิดลิขสิทธิ์บัญญัติว่า “คดีละเมิดลิขสิทธิ์นั้น ท่านมิให้ฟ้องเมื่อพ้นสามปีนับแต่วันละเมิด” ดังนี้ จึงต้องใช้อายุความสามปีดังกล่าวมาบังคับแก่คดีนี้ และตามฎีกาของจำเลยรับว่าจำเลยกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์คือขายหนังสือที่คัดลอกเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๕ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๑๖ คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
ฎีกาของจำเลยในเรื่องที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่สามารถแสดงหลักฐานว่านายดับบลิว.เอ.เอช.เบ็คเก็ทท์ และนายเจ.ดี.วิลเลียมสัน มีอำนาจลงชื่อหรือกระทำการแทนบริษัทโจทก์นั้น เห็นว่าโจทก์สืบได้สมฟ้องว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์บรรยายฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่อาจแน่ใจได้ว่าใครเป็นโจทก์ที่แท้จริงนั้น เห็นว่าเมื่ออ่านฟ้องโดยตลอดก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าบริษัทลองแมนกรุ๊ป (ตะวันออกไกล) จำกัด เป็นโจทก์ โดยบริษัทสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์
ส่วนเรื่องค่าเสียหายนั้น เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ๑๐๐,๐๐๐ บาทนั้นสูงไป ควรกำหนดให้เพียง ๕๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๕๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share