คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ในขณะที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ โดยโจทก์เป็นผู้ให้เช่าซื้อนั้น วัตถุที่ประสงค์ของโจทก์ผู้เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดตามที่จดทะเบียนไว้ในขณะนั้นยังมิได้ระบุให้โจทก์ประกอบกิจการเป็นผู้ให้เช่าซื้อสังหาริมทรัพย์ได้ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การและนำสืบยอมรับว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กันจริงจำเลยที่ 1 จะโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะการให้เช่าซื้อรถยนต์อยู่นอกขอบวัตถุที่ประสงค์ของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้หาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อให้ชำระเงิน 78,897 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์ สัญญาเช่าซื้อตามฟ้องไม่ผูกพันโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เพิ่งได้รับการจดทะเบียนแก้ไขวัตถุที่ประสงค์ให้ประกอบกิจการให้เช่าซื้อรถยนต์ได้ในภายหลังดังนั้นการที่โจทก์ทำสัญญาให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์อันเป็นอสังหาริมทรัพย์เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2520 อันเป็นช่วงเวลาที่โจทก์ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนแก้ไขวัตถุประสงค์ ย่อมเป็นการประกอบกิจการนอกขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์ที่ได้รับการจดทะเบียนไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 69 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาประเด็นที่เหลือต่อไป
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้ในขณะที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์อันเป็นอสังหาริมทรัพย์ต่อกัน โดยโจทก์เป็นผู้ให้เช่าซื้อนั้น วัตถุที่ประสงค์ของโจทก์ผู้เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดตามที่จดทะเบียนไว้ในขณะนั้นยังมิได้ระบุให้โจทก์ประกอบกิจการเป็นผู้ให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ แต่เมื่อจำเลยที่ 1ให้การและนำสืบยอมรับว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กันจริงตามเอกสารหมาย จ.3 จำเลยที่ 1 จะโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะการให้เช่าซื้อรถยนต์อยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้หาได้ไม่ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่2126/2518 ระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ราชายนต์ โจทก์ นายสุรยุทธโคตระวีระ จำเลย ที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ว่า การทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์อยู่ในวัตถุประสงค์ของโจทก์ กับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีสิทธิจะยกขึ้นต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ให้เช่าซื้อรถยนต์ เป็นคนละเรื่องกันไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้ตั้งประเด็นไว้ในข้อ 1 ว่า การทำสัญญาเช่าซื้ออยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์และมีผลผูกพันโจทก์หรือไม่แล้วศาลชั้นต้นวินิจฉัยตามประเด็นดังกล่าวนี้ว่า การทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์อยู่นอกขอบวัตถุที่ประสงค์ของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่า การดำเนินกิจการให้เช่าซื้อรถยนต์อยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์ ขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งให้ส่งสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปหรือให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์ชนะคดี ซึ่งมีความหมายว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกเหตุที่โจทก์มิได้ยกขึ้นอ้างอิงไว้โดยตรง คือเหตุที่จำเลยจะยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ให้เช่าซื้อรถยนต์ ขึ้นอ้างอิงเพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจฟ้องของโจทก์ได้ หาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องอุทธรณ์ดังที่จำเลยฎีกาไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ในประเด็นอื่นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share