คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายและจำเลยทะเลาะกัน เมื่อผู้เสียหายกำลังจะลุกขึ้นกลับบ้าน จำเลยใช้ไม้ไผ่ที่ถือติดตัวมาตีที่บริเวณก้านคอผู้เสียหายขณะที่กำลังเผลอตัว จนล้มลงแล้วจำเลยได้ใช้ไม้ไผ่แทงที่บริเวณลำคออีก 1 ครั้งเป็นแผลลึกถึงกระดูกไขสันหลังส่วนหน้า ผ่านกล้ามเนื้อบริเวณคอและต่อมไทรอยด์ตัดเส้นประสาทขาด โดยที่ผู้เสียหายมิได้โต้ตอบเช่นนี้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า แต่ไม่เป็นการป้องกัน.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288
จำเลยให้การว่า ได้ใช้ไม้ไผ่ตีและแทงที่คอด้านหลังของผู้เสียหายจริง แต่ไม่ได้กระทำความผิดฐานพยายามฆ่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 จำคุก 12 ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาถึงเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายโดยป้องกันพอสมควรแก่เหตุ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 31กรกฎาคม 2527 เวลาประมาณ 12 นาฬิกา นายเกษม หม๊ะโส๊ะผู้เสียหายได้เข้าไปตัดไม้ในสวนยางพาราของผู้เสียหายที่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลสำนักแต้ว อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และถูกจำเลยใช้ไม้ไผ่ตีทำร้ายถูกที่ก้านคอจริง ปรากฏว่าผู้เสียหายมีบาดแผลถูกของมีคมที่คอด้านหน้าด้วย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยใช้ไม้ไผ่ที่ใช้ตีผู้เสียหายแทงคอผู้เสียหายมีบาดแผลดังกล่าวและการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่
โจทก์มีนายเกษม หม๊ะโส๊ะ ผู้เสียหายเบิกความว่า ขณะที่กำลังตัดไม้อยู่ จำเลยได้เดินเข้าไปหาถือขวาน 1 เล่มกับไม้ไผ่ 1 อันติดมือมาด้วย ขณะเกิดเหตุมีผู้เสียหายกับจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุเพียง 2 คนจำเลยเองก็ให้การรับว่าวันเกิดเหตุได้ใช้ไม้ไผ่ปลายข้างหนึ่งแหลมเป็นปากเป็ดตีและแทงผู้เสียหายจริง เพียงแต่อ้างว่าตีและแทงถูกที่คอด้านหลัง ปรากฏว่าผู้เสียหายไม่มีบาดแผลถูกแทงที่คอด้านหลังหรือที่อื่นเลย คงมีบาดแผลถูกแทงที่คอด้านหน้าแห่งเดียว ทั้งได้ความตามคำผู้เสียหายว่าหลังถูกแทงแล้วมีไม้ไผ่หักปักอยู่ที่คอผู้เสียหายด้วย เชื่อได้ว่าจำเลยเป็นคนใช้ไม้ไผ่แทงผู้เสียหายดังกล่าว ปัญหาต่อไปมีว่าจำเลยใช้ไม้ไผ่ตีและแทงผู้เสียหายเป็นการป้องกันหรือไม่ ปัญหานี้แม้จะได้ความตามที่จำเลยนำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายมีเรื่องกล่าวหาว่าจำเลยเป็นใช้กับภรรยาผู้เสียหาย และมีสาเหตุผิดใจกันอยู่ก็ตาม แต่วันเกิดเหตุผู้เสียหายไปตัดไม้ในสวนยางพาราของผู้เสียหายจำเลยเป็นฝ่ายเข้าไปหาผู้เสียหายเอง การที่จำเลยถือขวานและไม้ไผ่ติดมือไปด้วยและเกิดทะเลาะทำร้ายกันขึ้นจึงน่าเชื่อว่าเป็นเพราะจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุมากกว่า ที่จำเลยเบิกความว่า ขณะทะเลาะกันผู้เสียหายได้จับมีดพร้าเหวี่ยงมาทางจำเลย จำเลยจึงใช้ไม้ไผ่ตีสวนไปขัอต่อเหตุผล เพราะถ้าผู้เสียหายคิดทำร้ายจำเลยจริงผู้เสียหายคงใช้มีดฟันจำเลยได้รับบาดเจ็บบ้างคงไม่ปล่อยให้จำเลยใช้ไม้ไผ่ตีและแทงเอาง่าย ๆ เช่นนั้น คดีนี้ผู้เสียหายเบิกความว่า พอพูดกันจำได้ประมาณ 30 นาที ผู้เสียหายกำลังจะลุกขึ้นกลับบ้านก็รู้สึกว่าถูกไม้ตีที่ก้านคอและสลบไป แสดงว่าผู้เสียหายถูกจำเลยตีโดยแรงขณะที่กำลังเผลอตัว ผู้เสียหายว่าหลังเกิดเหตุประมาณ 4 ชั่วโมง คือเมื่อเวลาประมาณ 16 นาฬิกาจึงฟื้นขึ้น และรู้สึกเจ็บที่คอเมื่อทราบว่ามีไม้ไผ่ปักอยู่ได้ดึงไม้ออกแล้วคลานกลับบ้าน ชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจว่า ได้ใช้ไม้ไผ่ตีที่ต้นคอด้านหลังของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายล้มลงแล้วได้ใช้ไม้ไผ่แทนเสยที่บริเวณลำคออีก 1 ครั้ง ไม่ได้ให้การว่าผู้เสียหายใช้มีดฟันจำเลยก่อนแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่ใช่เป็นการกระทำโดยป้องกันปัญหาคงมีว่าจำเลยควรมีผิดสถานใด ปัญหานี้ก็พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อใช้ไม้ไผ่ตีผู้เสียหายล้มสลบไปแล้วจำเลยยังใช้ไม้ไผ่อันนั้นแทงคอผู้เสียหายซ้ำอีก โดยเฉพาะบาดแผลถูกแทงที่คอนั้นโจทก์นำนายแพทย์สมชาย อุปพันธ์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลหาดใหญ่ซึ่งเป็นผู้ตรวจชันสูตรรักษาบาดแผลผู้เสียหายมาเบิกความประกอบรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องว่าผู้เสียหายถูกแทงที่บริเวณใต้ลูกกระเดือก ลึกถึงกระดูกไขสันหลังส่วนหน้าผ่านกล้ามเนื้อบริเวณคอ ผ่านต่อมไทรอยด์ส่วนล่างด้านซ้าย ตัดเส้นประสาทขาดแสดงว่าถูกแทงโดยแรงและถนัดเช่นกัน นายแพทย์สมชายว่าอวัยวะที่ถูกแทงเป็นอวัยวะสำคัญหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีจะถึงแก่ความตายได้ ตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยก็ได้ความว่าเมื่อแทงแล้ว ผู้เสียหายนอนนิ่งอยู่มีโลหิตไหลออกมา จำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายต้องถึงแก่ความตายสมเจตนาแล้วจำเลยจึงกลับบ้านแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย การที่จำเลยไม่ใช้ขวานฟันผู้เสียหายซ้ำลงไปอีกจึงไม่ทำให้ข้อเท็จจริงที่รับฟังมาเปลี่ยนแปลงไป จำเลยต้องมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามที่โจทก์ฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยกระทำโดยป้องกันพอสมควรแก่เหตุจำเลยไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้องโจทก์มา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share