คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1176/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญากู้ระบุว่าเมื่อครบ 6 เดือนนับแต่วันกู้เงิน หากผู้กู้ไม่นำเงินมาชำระ ผู้กู้ยอมให้ที่นา ส.ค. 1 ตกเป็นของผู้ให้กู้ โดยเหตุนี้เมื่อสัญญากู้ครบกำหนดตามที่ระบุไว้ในสัญญา โดยเหตุนี้เมื่อสัญญากู้ครบกำหนดตามที่ระบุไว้ในสัญญา ผู้กู้ไม่นำเงินกู้มาชำระ การครอบครองที่นาของผู้ให้กู้จึงเป็นการครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ โดยถือว่าผู้กู้เจ้าของเดิมสละการครอบครองแล้ว ผู้ให้กู้ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่นาดังกล่าว เมื่อโจทก์ทั้งสองครอบครองที่นานั้นต่อมาจากผู้ให้กู้ซึ่งถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งสองย่อมได้สิทธิครอบครองในที่นาด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นภรรยานายขิง แต่มิได็จดทะเบียนสมรส โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรซึ่งเกิดจากโจทก์ที่ 1 และศาลสั่งให้เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายขิง นางปลั่งได้กู้เงินขายขิง 2 คราวโดยมอบที่นา ส.ค.1 ให้ทำนาต่างดอกเบี้ย และระบุในสัญญากู้ครั้งที่ 2 ว่าเจ้าของนาจะไถ่ภายในกำหนด 6 เดือน ถ้าพ้นกำหนดนี้แล้วไม่ไถ่ ขอยกนาแปลงนี้ให้เจ้าของเงินเป็นกรรมสิทธิ์แต่วันสุดกำหนดเป็นต้นไป นางปลั่งมิได้ชำระเงินกู้ให้นายขิงภายในกำหนดเวลาตามสัญญา และยินยอมให้นายขิงครอบครองที่นาอย่างเป็นเจ้าของต่อมานายขิงถึงแก่กรรม โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ได้เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา จากนั้นจำเลยซึ่งเป็นบุตรนางปลั่งยื่นคำขอออก น.ส.3 ที่ดินนาแปลงดังกล่าวเป็นชื่อของตนอ้างเป็นผู้รับมรดกที่ดินจากนางปลั่ง ผู้ซึ่งเพิ่งถึงแก่กรรมลง เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยไปยื่นคำร้องขอถอนคำร้องที่จำเลยขอออก น.ส.3 ที่ดินตาม ส.ค. 1 เลขที่ 297 หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า มารดาจำเลยไปกู้เงินนายขิงไป 2 คราวจริงดังฟ้อง การกู้ทั้งสองคราวตกลงกันเพียงว่ามรดกจำเลยตกลงยอมมอบที่ดินแปลงพิพาทให้นายขิงทำกินต่างดอกเบี้ยเท่านั้น สำหรับสัญญากู้ฉบับที่ 2 ข้อความในสัญญาที่ว่า “เจ้าของนาจะไถ่ภายใน 6 เดือนถ้าพ้นกำหนดนี้แล้วไม่ไถ่ จะขอยกที่นาแปลงนี้ให้เจ้าของเงินเป็นกรรมสิทธิ์ นับแต่วันสุดกำหนดเป็นต้นไป” นั้น นายขิงหรือโจทก์เขียนหรือสมคบกันเขียนขึ้นเองโดยมารดาจำเลยมิได้ตกลงรู้เห็นที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็นสิทธิของนายของหรือทายาท และโจทก์ทั้งสองไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายขิงไม่มีส่วนได้เสียจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปยื่นคำร้องขอถอนคำร้องที่จำเลยขอออก น.ส.3 ที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 297 หมู่ที่ 6 ตำบลเที่ยงแท้อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีฟังได้ในเบื้องต้นว่า ขณะนี้นาพิพาทโจทก์ทั้งสองครอบครองทำอยู่ คงมีปัญหาว่าครอบครองทำกินต่างดอกเบี้ย หรือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ นางปั่น สังข์ชัยโจทก์ที่ 1 เบิกความว่านางปลั่ง กล่ำแก้ว เจ้าของเดินนาพิพาทได้เคยมากู้เงินนายขิงสามีโจทก์ที่ 1 รวม 2 ครั้ง กู้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2513 จำนวนเงิน 3,000 บาท กู้ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2516 จำนวนเงิน 15,000 บาท ในการกู้เงินทั้งสองครั้งนางปลั่งเอานาพิพาทให้นายขิงทำต่างดอกเบี้ย และในการกู้เงินครั้งที่ 2ยังได้ระบุไว้ในสัญญาว่า ถ้านางปลั่งไม่ไถ่นาภายในกำหนด 6 เดือนยกที่นาให้นายขิง ปรากฏตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 จ.2ตามลำดับ เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเอกสารหมาย จ.2 นางปลั่งไม่นำเงินกู้มาชำระ นายขิงจึงได้เข้าครอบครองที่นาอย่างเจ้าของ เมื่อนายขิงถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2520 โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ก็ได้เข้าทำนาแปลงนี้ตลอดมา โจทก์ยังนำนายพรม ฉิมพลี มาเบิกความเป็นพยานว่าเป็นผู้เขียนสัญญาฉบับดังกล่าวทั้งสองฉบับ สำหรับสัญญาตามเอกสารหมาย จ.2ชั้นแรกนางปลั่งจะยกนาให้นายขิงแลย แต่พยานแนะนำว่าให้เวลาสัก6 เดือน ถ้าไม่มีเงินไถ่จึงให้ตกเป็นของนายขิง ส่วนจำเลยเบิกความว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.2 นายขิงให้นางปลั่งลงพิมพ์ลายนิ้วมือโดยยังมิได้กรอกข้อความใด ๆ และไม่มีการตกลงว่าเมื่อพ้นกำหนด 6 เดือนแล้วไม่ไถ่คืนก็ยกที่นาให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของเงิน เห็นว่าทั้งโจทก์และจำเลยต่างอ้างนายพรมเป็นพยานในบัญชีระบุพยานของทั้งสองฝ่าย นายพรมไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด จำเลยเบิกความรับว่าชาวบ้านนับถือว่าเป็นคนดีมีคนนับถือ เห็นว่าคำเบิกความของนายพรมมีน้ำหนักถือได้ว่าเป็นคนกลางเบิกความไปตามความจริงฟังได้ว่าสัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.2 ได้ระบุไว้ว่าเมื่อครบ6 เดือนนับแต่วันกู้เงินนางปลั่งผู้กู้ไม่นำเงินมาชำระ นางปลั่งยอมให้ที่นาพิพาทตกเป็นของนายขิงโดยเหตุนี้เมื่อสัญญากู้ครบกำหนดตามที่ระบุไว้ในสัญญา นางปลั่งไม่นำเงินกู้มาชำระการครอบครองที่นาของนายขิงจึงเป็นการครอบครองอย่างเจ้าของโดยถือว่านางปลั่งเจ้าของเดิมสละการครอบครองแล้ว นายขิงย่อมได้สิทธิครอบครองในที่นาดังกล่าว ซึ่งโจทก์ทั้งสองครอบครองที่นาพิพาทต่อมาจากนายขิงซึ่งถึงแก่กรรม จึงย่อมได้สิทธิครอบครองในที่นาพิพาทด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองให้โจทก์ชนะคดีนั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share