คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บ. และ ถ. ผู้เสียหายเมาสุรารุมตีทำร้ายจำเลย และใช้อาวุธปืนยิงจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้อาวุธปืนที่ติดตัวมายิงไปหลายนัดถูกผู้เสียหายทั้งสองในขณะกอดปล้ำทำร้ายกัน การกระทำของจำเลย เป็นการกระทำให้พ้นจากภยันตรายร้ายแรงซึ่งใกล้จะถึง จึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91,288 และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ
จำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะความผิดที่มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเหตุสมควร ส่วนความผิดฐานพยายามฆ่า จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 69 ลงโทษจำคุกมีกำหนด 2 ปี และตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 จำคุก 8 เดือน และตามมาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ จำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุกจำเลย 2 ปี6 เดือน
โจทก์ จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คงมีปัญหาในชั้นนี้เฉพาะข้อหาพยายามฆ่าโดยจำเลยรับว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บจริงตามฟ้องมีข้อจะต้องวินิจฉัยเพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุหรือไม่ เพียงไร โจทก์นำนายถนัดหรือหนัดหรือสนัดและนายบุญส่งผู้เสียหายทั้งสองมาเบิกความต่อศาลเป็นใจความว่าขณะเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณ 1นาฬิกาของวันเกิดเหตุ ซึ่งในวันนั้นมีงานกินเลี้ยงศิษย์เก่าโรงเรียนบ้านหนองยาว ผู้เสียหายนั่งกินเลี้ยงกับพวกที่รู้จักกันประมาณ 5-6 คน งานเลิกประมาณเที่ยงคืน แต่ผู้เสียหายกับพวกคงนั่งกันอยู่ต่อไปจนกระทั่งเกิดเหตุโดยมีการดื่มสุรากันด้วย ต่อมาผู้เสียหายทั้งสองไปถ่ายปัสสาวะห่างจากโต๊ะที่นั่งกินเลี้ยงประมาณ 10 วา ตรงนั้นมีต้นกระถินขึ้นและมีทางเดินอยู่ใกล้ๆ ขณะกำลังปัสสาวะมีเสียงปืนดัง 1 นัดมาจากทางทิศตะวันตก พอสิ้นเสียงปืนนายบุญส่งได้วิ่งไปทางเสียงปืน โดยนายถนัดหรือสนัดวิ่งตามไป ไปได้อีก 5 วาก็มีเสียงปืนดังอีก 1 นัด ผู้เสียหายคงวิ่งไล่ตามไปจนทันคนร้าย คนร้ายก็ใช้ปืนยิงใส่ผู้เสียหายอีก 2 นัด นายบุญส่งล้มลงไป ส่วนนายถนัดหรือสนัดเข้ากอดปล้ำกับคนร้าย แล้วมีเสียงปืนดังอีก 1 นัดต่อมาอีก 1 นาที นายถนัดหรือสนัดรู้สึกแน่นหน้าอกจึงรู้ว่าถูกปืน นายถนัดยังได้ถามนายบุญส่งว่าใครเป็นคนยิง คนร้ายที่เข้ากอดปล้ำจึงพูดว่า ‘มึงเองหรือไอ้นัด’ คนร้ายนั้นคือจำเลย ส่วนจำเลยเบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 20 นาฬิกาจำเลยขี่รถจักรยานสองล้อพาภริยาไปเที่ยวที่งานโรงเรียนบ้านหนองยาว ส่งเสร็จแล้วจำเลยก็กลับโรงงานที่จำเลยเฝ้าจนกระทั่ง 1 นาฬิกา จำเลยก็ขี่รถจักรยานสองล้อเพื่อไปรับภริยาระหว่างทางที่มาโรงเรียนบ้านหนองยาวก็เห็นชาย 4 คนยืนดักอยู่ข้างทางทั้งซ้ายขวา เมื่อรถเข้ามาใกล้ ชายคนหนึ่งร้องถามว่าทางนี้ไปหุบกระพงได้ใช่ไหม จำเลยจึงจอดรถจักรยานสองล้อแล้วร้องถามว่าใคร ขณะนั้นชายคนหนึ่งทางขวามือได้ชักของออกมาจากเอวดำๆ คล้ายปืนร้องว่าใช่เอาเลย จำเลยตกใจคิดว่ามีเรื่องจึงทิ้งรถจักรยานสองล้อหันหลังวิ่งหนี ในระหว่างวิ่งหนีมีเสียงปืนดังตามหลังมา 2 นัด จำเลยจึงเซถลาไปทางด้านขวารู้สึกปวดที่แขนขวาคล้ายมีของแข็งมากระทบแล้วจำเลยล้มลงเมื่อล้มลงมีชาย 2 คนเข้ามารุมยึดตัวจำเลย จำเลยดิ้นต่อสู้โดยถีบเตะไปที่ชายทั้งสอง ระหว่างที่กอดปล้ำจำเลยเห็นหน้าจำได้ถนัดว่าชายคนหนึ่งคือนายถนัดผู้เสียหาย จึงร้องว่า เป็นมึงหรอกหรือหนัดทำกูทำไม ส่วนชายอีกคนหนึ่งที่จำเลยไม่รู้จักได้ร้องว่า เอามันให้ตาย ชายนี้คือนายบุญส่งผู้เสียหาย นายบุญส่งได้กดจำเลยไว้ ขณะนั้นนายถนัดได้ลุกขึ้นและใช้ปืนยิงมาทางจำเลย 2 นัด แต่ปืนไม่ลั่น นายบุญส่งร้องบอกว่าตีเลย นายถนัดจึงอ้อมมาข้างหลังแล้วใช้ปืนพกตีท้ายทอยด้านหลังของจำเลย 2 ทีซ้อน จำเลยหมดแรงจึงปล่อยจากนายบุญส่ง นายบุญส่งยังร้องบอกนายถนัดให้จ่อยิงตรงสมองจำเลยจึงลุกวิ่งหนีไปทันที วิ่งไปได้ 2 วาก็ล้มอีก นายบุญส่งวิ่งไล่ตามหลังว่ามึงหนีกูไม่พ้น วันนี้มึงต้องตายแน่คนเมืองเพชร จำเลยนึกขึ้นได้ว่า ที่กระเป๋ากางเกงจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวมาด้วย จึงยิงขู่ป้องกันตัวไปกี่นัดจำไม่ได้ ตามคำพยานของโจทก์จำเลยทั้งสองฝ่าย ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายนั่งดื่มสุราอยู่กับพวกจนงานเลิกก็ยังคงดื่มสุรากันต่อไป น่าจะมีอาการเมาสุรามีความคึกคะนอง ส่วนจำเลยขี่รถจักรยานสองล้อมาเพียงคนเดียว ขณะที่ผ่านพวกผู้เสียหายก็น่าจะไม่รู้จักว่าเป็นใคร เพราะนายถนัดผู้เสียหายก็เบิกความรับว่าขณะที่นายถนัดกอดปล้ำอยู่กับจำเลย จำเลยยังได้ร้องออกมาว่า ‘มึงเองหรือไอ้นัด’ จึงไม่มีเหตุผลที่จะเห็นไปได้ว่า จำเลยจะยิงคนที่ไม่เคยมีสาเหตุกันและไม่รู้จักกันดังคำเบิกความของผู้เสียหาย ศาลฎีกาฟังว่าผู้เสียหายทั้งสองมีอาการเมาสุรามีความคึกคะนอง ในขณะเกิดเหตุ เมื่อเห็นมีคนถีบรถจักรยานสองล้อผ่านไปก็ก่อเหตุวิวาทขึ้นก่อนด้วยฤทธิ์ของสุราดังกล่าวการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวมิให้ถูกพวกผู้เสียหายกระทำร้ายดังกล่าว ส่วนการป้องกันตัวของจำเลยจะเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุหรือไม่นั้น เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนดึกสงัด จำเลยเบิกความยืนยันว่าในขณะเกิดเหตุมีเสียงปืนดังมาจากทางผู้เสียหาย ซึ่งจำเลยเบิกความต้องกันกับคำให้การชั้นสอบสวน ปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.7 ขณะที่จำเลยยิงปืนก็อยู่ในขณะที่จำเลยถูกผู้เสียหายรุมตีทำร้ายการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำให้พ้นจากภยันตรายร้ายแรงซึ่งใกล้จะถึง จึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาพยายามฆ่าศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share