คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 715/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ทั้งหมดที่ให้แก่จำเลย เครื่องจักรที่จำเลยนำเข้าซึ่งได้รับยกเว้นภาษีอากรจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในตอนนำเข้าจึงถือว่าไม่เคยได้รับยกเว้นภาษีอากรมาแต่ต้น จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระภาษีอากรโดยไม่คำนึงว่าเมื่อตอนนำเข้านั้นได้กระทำโดยสุจริตหรือไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองเป็นกรมในรัฐบาล จำเลยซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้นำเครื่องจักรและเครื่องมือในการผลิตหลอดภาพเครื่องรับโทรทัศน์เข้ามาในราชอาณาจักร โดยได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีอากรจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ต่อมาปรากฏว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนดไว้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนพ.ศ. 2520 สั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ทั้งหมดที่ให้แก่จำเลยซึ่งมาตรา 55 ของพระราชบัญญัติฉบับเดียวกันให้ถือว่าจำเลยไม่เคยได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรมาแต่ต้นโจทก์ที่ 1 ซึ่งมีอำนาจจัดเก็บภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแทนโจทก์ที่ 2 ด้วยจึงแจ้งให้จำเลยชำระอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล แต่จำเลยไม่ชำระจึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงิน 599,670.10 บาท พร้อมเงินเพิ่มแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเรียกภาษีบำรุงเทศบาลจากจำเลย จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร ผู้มีหน้าที่เรียกเก็บภาษีบำรุงเทศบาลจากจำเลยคือกรุงเทพมหานคร จำเลยไม่เคยค้างชำระอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาล ดังโจทก์ฟ้องจำเลยได้ชำระให้แก่โจทก์ไปเรียบร้อยแล้ว หากจำเลยจะต้องชำระภาษีอากรตามฟ้อง โจทก์ทั้งสองก็ไม่มีอำนาจเรียกเก็บเงินเพิ่มแต่อย่างใดเพราะจำเลยไม่เคยได้รับแจ้งการประเมิน เมื่อยังไม่มีการแจ้งการประเมินจำเลยก็ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม แม้หากมีการแจ้งการประเมินแล้วก็ตาม เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าภาษีโดยครบถ้วน ก็เพียงแต่จะต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีเท่านั้น
ในชั้นชี้สองสถานศาลได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า
1. โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับภาษีบำรุงเทศบาลตามโจทก์ฟ้องนั้นหรือไม่
2. จำเลยจะต้องรับผิดชำระภาษีตามโจทก์ฟ้องหรือไม่
3. โจทก์มีสิทธิเรียกเก็บเงินเพิ่มหรือไม่
ต่อมาจำเลยได้แถลงสละข้อต่อสู้ในประเด็นข้อ 1. และ 3.ขอให้ศาลสืบพยานแต่เฉพาะประเด็นข้อ 2. เพียงประเด็นเดียว
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินภาษีอากรตามฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเป็นบริษัท จำกัด ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 227ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2515 โดยจำเลยได้รับการส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2519 ต่อมาวันที่ 2 สิงหาคม 2525 ได้ถูกเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ที่จำเลยได้รับทั้งหมด ปรากฎตามคำสั่งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเอกสารหมาย จ.12 ในระหว่างที่จำเลยยังมิได้ถูกเพิกถอนสิทธิตามบัตรส่งเสริมการลงทุนนั้น จำเลยได้นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรไทยรวม 2 ครั้ง ตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า เลขที่ ดี 110-00201 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน2520 และเลขที่ 032-1021 ลงวันที่ 7 มีนาคม 2522 ซึ่งจำเลยจะต้องเสียอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาล รวมเป็นเงิน486,205.63 บาท แต่จำเลยมิได้เสียภาษีอากรดังกล่าว เนื่องจากจำเลยได้รับยกเว้นจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 227 ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2515 หลังจากที่จำเลยถูกเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ที่ได้รับยกเว้นนั้นแล้ว โจทก์ที่ 1ได้มีหนังสือแจ้งการประเมินเรียกเก็บอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลไปยังจำเลย โดยให้จำเลยชำระภาษีอากรตามใบขนสินค้าทั้ง 2 ฉบับนั้นรวมเป็นเงิน 486,205.63 บาท จำเลยได้รับแบบแจ้งการประเมินนั้นแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมชำระ
จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่า จำเลยนำเครื่องจักรรายพิพาทเข้ามาใช้เพื่อการผลิตหลอดภาพโทรทัศน์ แม้ต่อมาจะถูกเพิกถอนสิทธิตามบัตรส่งเสริมการลงทุน ก็ไม่มีผลที่จะเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากจำเลยเพราะจำเลยประกอบการผลิตหลอดภาพโทรทัศน์อยู่แล้ว ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากร จะนำมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนมาบังคับแก่จำเลยไม่ได้ พิเคราะห์แล้ว ตามมาตรา 55 พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 ได้บัญญัติไว้ว่า “ในกรณีที่คณะกรรมการสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เกี่ยวกับภาษีอากร สำหรับของที่นำเข้าหรือส่งออกทั้งหมด ให้ถือว่าผู้ได้รับการส่งเสริมไม่เคยได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรมาแต่ต้นและให้ผู้ใดได้รับการส่งเสริมเสียภาษีอากรโดยถือสภาพของของ ราคา และอัตราภาษีอากรที่เป็นอยู่ในวันนำเข้าหรือส่งออกเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีอากร สำหรับกรณีที่ได้รับลดหย่อนภาษีอากรให้เสียภาษีอากรเพิ่มจากที่ได้เสียไว้แล้วให้ครบถ้วนตามจำนวนเงินภาษีอากรที่จะพึงต้องเสียทั้งหมด…ฯลฯ”ตามบทบัญญัติดังกล่าวนี้ได้บัญญัติไว้โดยแจ้งชัดแล้วว่า ในกรณีที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ที่ได้รับทั้งหมด ก็ให้ถือว่าผู้ได้รับการส่งเสริมนั้นไม่เคยได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรมาแต่ต้น ฉะนั้น จำเลยจึงต้องชำระอากรขาเข้าภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาล ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยไม่คำนึงว่าเมื่อจำเลยนำของเข้ามานั้นได้กระทำโดยสุจริตหรือไม่ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยได้นำเครื่องจักรเข้ามานับถึงวันฟ้องเกินกว่า 5 ปี และเมื่อนับแต่วันถูกเพิกถอนสิทธิและประโยชน์จนถึงวันฟ้องก็เกิน 5 ปีแล้ว จำเลยจึงได้รับความคุ้มครองไม่ต้องเสียอากรขาเข้า และเมื่อถูกเพิกถอนสิทธิและประโยชน์แล้ว โจทก์ชอบที่จะสั่งให้จำเลยนำเครื่องจักรนั้นออกนอกราชอาณาจักร ไม่มีสิทธิเรียกเก็บภาษีอากรจากจำเลยนั้น ข้ออุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวแล้วนั้นจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ เป้นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้ดจำเลยชำระภาษีอากรรวมทั้งเงินเพิ่มแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นนี้แทนโจทก์2,000 บาท.

Share