คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์เพียงแต่พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลดโทษแก่จำเลยในแต่ละกระทงความผิด และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินกระทงละห้าปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อย โจทก์ฎีกาขออย่าให้ลดโทษให้แก่จำเลย เป็นฎีกาดุลพินิจของศาลซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยรับสารภาพชั้นจับกุมเพราะจำนนต่อหลักฐานแต่ในชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณาให้การปฏิเสธ ดังนี้คำรับในชั้นจับกุมของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาไม่มีเหตุที่จะลดโทษให้แก่จำเลย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่44 ข้อ 3, 6, 7 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 138, 288, 295, 296 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 4กับขอให้ริบปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษข้อหามีอาวุธปืน จำคุก 2 ข้อหาพาอาวุธปืนจำคุก 1 ปี ข้อหาฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต ข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 296 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 2 ปี รวมทุกกระทงแล้วเป็นจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก20 ปี รวมกับโทษความผิดฐานอื่น ๆ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เป็น จำคุก 25 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 16 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยไม่มีการลดโทษและขอให้ริบของกลางด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองและทางสาธารณะโดยฝ่าฝืนกฎหมายฐานต่อสู้ขัดขวางและทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพียงแต่แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลดโทษแก่จำเลยในกระทงความผิดเหล่านี้ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินกระทงละห้าปี ต้องห้ามไม่ให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่โจทก์ฎีกาขออย่าให้ลดโทษให้แก่จำเลยในความผิดดังกล่าว เป็นฎีกาดุลพินิจของศาลซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาที่จะวินิจฉัยว่า ที่ศาลอุทธรณ์วางโทษและลดโทษให้แก่จำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นชอบด้วยรูปคดีหรือไม่ และได้พิเคราะห์แล้วได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายถูกจำเลยกับพวกทำร้าย ผู้ตายได้ไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจตรีถาวร ศรีพฤกษ์ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองลำปางให้ไปทำการจับกุมจำเลยกับพวกไปพบจำเลยที่ร้านอาหารปกเกล้าที่เกิดเหตุ ผู้ตายน่าจะชี้ตัวให้ร้อยตำรวจตรีถาวรกับพวกจับจำเลย ผู้ตายกลับจับคอเสื้อจำเลยและดึงตัวจำเลยเข้ามาหา จำเลยมีสาเหตุกับผู้ตายอยู่แล้ว จำเลยคงคิดว่าผู้ตายจะต้องทำร้ายจำเลยการที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายในขณะนั้นจึงเป็นกรณีที่น่าเห็นใจจำเลยอยู่บ้าง ที่ศาลอุทธรณ์วางโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้มีกำหนด 20 ปี จึงนับว่าเหมาะสมและชอบด้วยรูปคดีแล้ว แต่เห็นว่าการที่จำเลยยิงผู้ตายครั้งนี้จำเลยกระทำต่อหน้าร้อยตำรวจตรีถาวร และเจ้าพนักงานตำรวจหลายคน จำเลยถูกจับได้ทันทีทันใดไม่มีทางปฏิเสธความผิดได้ ที่จำเลยรับสารภาพชั้นจับกุม จึงเป็นเพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน ทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยก็ไม่ได้รับสารภาพ และในชั้นพิจารณาจำเลยก็ให้การปฏิเสธ คำรับในชั้นจับกุมของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์ยกเอาคำรับชั้นจับกุมของจำเลยมาเป็นเหตุลดโทษให้แก่จำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยที่โจทก์ฎีกาขอให้ริบของกลางนั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองได้สั่งริบของกลางตามคำขอของโจทก์แล้ว ไม่มีเหตุที่โจทก์จะฎีกาขอให้ริบของกลางดังกล่าวอีก ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นมีกำหนด 20 ปี โดยไม่ลดโทษให้ รวมกับโทษกระทงอื่นที่ศาลอุทธรณ์ลงไว้แล้ว รวมเป็นโทษจำคุกจำเลย 23 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์’.

Share