คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1006/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การริบของกลางเป็นการริบโดย อาศัยอำนาจตาม ป.อ. มาตรา 33(1)ซึ่ง เป็นบทบัญญัติทั่วไปนำมาใช้ กับความผิดตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ด้วย ตาม มาตรา 17 แห่ง ป.อ. ซึ่ง อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะสั่งริบของกลางหรือไม่ ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกพฤติการณ์ต่าง ๆ แห่งคดีเพื่อประกอบการใช้ ดุลพินิจ ในการสั่งริบของกลาง โดย อาศัยข้อเท็จจริงซึ่ง เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปประกอบคำฟ้องและคำให้การรับสารภาพของจำเลยจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 56, 83 ประกาศของผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน ฉบับลงวันที่ 14 ธันวาคม 2519 เรื่องห้ามใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนัก น้ำหนักบรรทุกหรือน้ำหนักเพลาเกินกว่าที่ได้กำหนด เดินบนทางหลวงแผ่นดิน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 และริบรถยนต์บรรทุกของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 56, 83 จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือนสำหรับรถบรรทุกของกลางยังไม่สมควรให้ริบ คำขอส่วนนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะฎีกาปัญหาข้อกฎหมายในเรื่องริบของกลาง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การริบของกลางคดีนี้ เป็นการริบโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) ซึ่งเป็นบทบัญญัติทั่วไปนำมาใช้กับความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ด้วย ตามมาตรา 17 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งอยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะสั่งริบของกลางหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกพฤติการณ์ต่าง ๆแห่งคดีเพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจในการสั่งริบของกลางนั้น ก็โดยอาศัยข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปประกอบคำฟ้องและคำให้การรับสารภาพของจำเลยนั่นเอง กรณีเช่นนี้มิใช่เป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 แต่อย่างใด”
พิพากษายืน.

Share