คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 442/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าซึ่งโจทก์รับโอนกรรมสิทธิมาจากผู้ให้เช่าเดิม จำเลยให้การต่อสู้ว่า ผู้ให้เช่าเดิมให้จำเลยเช่า เป็นสัญญาต่างตอบแทน โดยจำเลยยอมให้ผู้ให้เช่าเดิมหักหนี้ 100,000 บาท กับจำเลยได้ซ่อมแซมห้องเช่าอีก 5,000 บาท ซึ่งผู้ให้เช่าเดิมสัญญาให้จำเลยเช่าตลอดชีวิต จำเลยจึงขอให้ศาลเรียกผู้ให้เช่าเดิมเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม และฟ้องแย้งขอให้ศาลบังคับให้โจทก์กับผู้ให้เช่าเดิมจดทะเบียนการเช่ารายนี้ ถ้าสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องก็ขอให้ศาลพิพากษาให้ฝ่ายโจทก์ร่วมกันคืนเงินหนึ่งแสนบาท ใช้ค่าซ่อมบ้าน 5,000 บาท กับค่าสินไหมทดแทนเดือนละ 1,870 บาท คำฟ้องแย้งนี้เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 3 และมาตรา 179 วรรคท้าย และคำฟ้องแย้งนี้ไม่เป็นเงื่อนไข เพราะถ้าศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีและขับไล่จำเลยตามฟ้องของโจทก์แล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะเรียกเงินกินเปล่าคืน หรือได้รับค่าสินไหมทดแทนแต่ประการใด แต่ถ้าคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยฟังได้ว่า จำเลยมีสิทธิเรียกให้โจทก์จดทะเบียนการเช่าจนตลอดชีวิตของจำเลยแล้ว ก็ย่อมบังคับตามคำฟ้องแย้งของจำเลยได้
คำฟ้องแย้งที่มีคำขอว่า ถ้าสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ศาลบังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่า ก็ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์คืนเงินกินเปล่าและใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น มิใช่เป็นเงื่อนไขแห่งคำฟ้องแย้งของจำเลย หากเป็นแต่เพียงคำขอในคำฟ้องแย้งอีกข้อหนึ่งในเมื่อบังคับตามคำขอข้อแรกไม่ได้ซึ่งแล้วแต่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าห้องพิพาทมีกำหนดตลอดชีวิตผู้เช่าจากผู้ให้เช่าเดิม โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องพิพาทมาแต่สัญญาเช่าไม่ได้จดทะเบียนจึงมีผลบังคับได้เพียง ๓ ปี โจทก์บอกเลิกสัญญา จำเลยไม่ออกจากห้องเช่า ขอให้ศาลบังคับ และให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ผู้ให้เช่าเดิมได้กู้เงินจำเลย และได้ให้จำเลยเช่าห้องพิพาทตลอดอายุของจำเลย โดยหักหนี้เป็นค่าแป๊ะเจี๊ยะ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ค่าเช่าห้อง ๒๕๐ บาท รวมเดือนละ ๕๐๐ บาท เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย อยู่ในคุ้มครองของกฎหมายว่าด้วยควบคุมการเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่ยอมให้หักหนี้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยได้ซ่อมแซมอีก ๕,๐๐๐ บาท ขอให้เรียกนามนัสเจ้าของที่ดินและนางฮกกิ้มเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์และนายมนัสไปจดทะเบียนการเช่า หากศาลเป็นว่าสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องก็ให้โจทก์คืนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทกับค่าซ่อมแซม ๕,๐๐๐ บาทและค่าเสียหายเดือนละ ๑,๘๗๐ บาท จนตลอดชีวิตจำเลย
ศาลรับคำขอให้การฟ้องแย้ง และเรียกนายมนัส นางฮกกิ้มเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม
โจทก์ นายมนัส และนางฮกกิ้ม ให้การแก้ฟ้องแย้งปฏิเสธความรับผิด
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมแล้วมีคำสั่งว่า คำฟ้องแย้งต้องเกี่ยวกับฟ้องเดิมและจะต้องพิจารณารวมกันไปกับฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยในเรื่องขอให้คืนเงินกินเปล่าและเรียกค่าเสียหายเนื่องจากไม่ได้เช่าอาคารพิพาทยังเป็นเงื่อนไขอยู่ เพราะฟ้องเดิมขอขับไล่ จำเลยสู้คดีอ้างเหตุยังมีสิทธิเช่าอยู่หลายประการ จะพิจารณาสองข้อหานี้ได้ต่อเมื่อจำเลยถูกศาลพิพากษาขับไล่ออกจากอาคารพิพาทเสียก่อน จึงจะยกฟ้องแย้งสองเรื่องนี้ขึ้นพิจารณาได้ ให้จำหน่ายฟ้องแย้งสองข้อหานี้ คงรับพิจารณาเฉพาะข้อที่ขอให้บังคับโจทก์ไปจดทะเบียนการเช่า และเสียค่าซ่อมแซมอาคารพิพาท
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รับพิจารณาคำฟ้องแย้งที่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำหน่ายคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า ซึ่งโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์มาจากผู้ให้เช่าเดิม จำเลยให้การต่อสู้ว่า ผู้ให้เช่าเดิมให้จำเลยเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทน โดยจำเลยยอมให้ผู้ให้เช่าเดิมหักหนี้ ๑๐๐,๐๐๐ บาทกับจำเลยได้ซ่อมแซมห้องเช่าอีก ๕,๐๐๐ บาท ซึ่งผู้ให้เช่าเดิมสัญญาให้จำเลยเช่าตลอดชีวิต จำเลยจึงขอให้ศาลเรียกนายมนัส ผู้ให้เช่าเดิมและนางฮกกิ้มเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม และจำเลยฟ้องแย้งขอให้ศาลบังคับให้โจทก์กับนายมนัส ผู้ให้เช่าเดิมจดทะเบียนการเช่ารายนี้ ถ้าสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องก็ขอให้ศาลพิพากษาให้ฝ่ายโจทก์ร่วมกันคืนเงินหนึ่งแสนบาท ให้ค่าซ่อมบ้าน ๕,๐๐๐ บาท ๕,๐๐๐ บาท กับค่าสินไหมทดแทนเดือนละ ๑,๘๗๐ บาท คำฟ้องแย้งของจำเลยนี้เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรค ๓ และมาตรา ๑๗๙ วรรคท้าย และคำฟ้องแย้งนี้ไม่เป็นเงื่อนไขเพราะถ้าศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี และขับไล่จำเลยตามฟ้องของโจทก์แล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะเรียกเงินกินเปล่าคืนหรือได้รับค่าสินไหาทดแทนแต่ประการใด แต่ถ้าคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยฟังได้ว่า จำเลยมีสิทธิเรียกให้โจทก์จดทะเบียนการเช่าจนตลอดชีวิตของจำเลยแล้ว ก็ย่อมบังคับตามคำฟ้องแย้งของจำเลยได้ ส่วนคำฟ้องแย้งที่มีคำขอว่า ถ้าสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ศาลบังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่า ก็ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์คืนเงินกินเปล่าและใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น มิใช่เป็นเงื่อนไขแห่งคำฟ้องแย้งของจำเลย หากเป็นเพียงแต่คำขอในคำฟ้องแย้งอีกข้อหนึ่ง ในเมื่อบังคับตามคำขอข้อแรกไม่ได้ ซึ่งแล้วแต่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นไม่รับคำฟ้องแย้งในข้อนี้ จึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์มิได้ทำคำสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์คำสั่งและบัดนี้ คดีเดิมศาลชั้นต้นได้พิจารณาพิพากษาเสร็จจนถึงศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไปแล้ว คดีอยู่ระหว่างที่จำเลยฎีกา จึงไม่มีเหตุที่จะให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งในข้อนี้และรื้อฟื้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นข้อนี้ใหม่ถ้าจำเลยเห็นว่า จำเลยมีสิทธิในส่วนนี้อันชอบที่จำเลยจะดำเนินคดีเรียกร้องได้อย่างไร จำเลยก็ทำได้ตามสิทธิของตน
พิพากษายืน

Share