แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ส. สั่งซื้อเครื่องเสียงจากโจทก์โดยชำระราคาให้บางส่วน ที่เหลือได้ออกเช็คให้โจทก์ไว้ ซึ่งการส่งมอบโอนกรรมสิทธิ์เครื่องเสียงซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญาซื้อขายจะสำเร็จครบถ้วนได้ก็ด้วยการที่โจทก์จะต้องติดตั้งให้เรียบร้อยก่อน การที่โจทก์นำเครื่องเสียงส่วนหนึ่งไปติดตั้งให้แล้วคิดเป็นเงิน 100,000 บาทเศษ ส่วนที่เหลือยังไม่ได้ติดตั้ง ส.จึงสั่งจ่ายเช็คสองฉบับ ฉบับแรกจำนวนเงิน 200,000 บาท ซึ่งโจทก์ได้รับชำระเงินไปแล้ว อีกฉบับคือเช็คพิพาท ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2537 ซึ่งเห็นได้ชัดแจ้งว่าในการชำระราคานั้น ส. ชำระให้เฉพาะส่วนที่ส่งมอบด้วยการติดตั้งแล้วส่วนเช็คพิพาทลงวันที่ล่วงหน้าระยะเวลานานเพราะถือว่ายังไม่ได้ติดตั้งจึงไม่เป็นการส่งมอบที่สมบูรณ์ เมื่อปรากฏว่าสินค้าที่โจทก์ติดตั้งให้ในคราวแรกนั้นมีความชำรุดบกพร่อง ส. จึงมีสิทธิสั่งธนาคารให้ระงับการชำระเงินตามเช็คพิพาทได้เมื่อการซื้อขายยังไม่เสร็จสมบูรณ์แม้ต่อมาส. จะถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นทายาทของ ส. ได้ตกลงเลิกสัญญากับโจทก์โดยโจทก์ยอมรับสินค้าคืน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระราคาสินค้า จำเลยก็ไม่มีหน้าที่ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้โจทก์เช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาบ้านผือลงวันที่ 8 ตุลาคม 2537 จำนวนเงิน 295,000 บาท ซึ่งมีนายแพทย์สถาพร ศรีเชียงสาเป็นผู้สั่งจ่าย เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ ต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์ได้นำไปเรียกเก็บเงินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน หลังจากนั้นต่อมา นายแพทย์สถาพรได้ถึงแก่กรรม จำเลยซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกจึงต้องรับผิดชำระหนี้ตามเช็คแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรับผิดชำระเงินจำนวน 301,882 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 295,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า เช็คตามฟ้องเป็นเช็คที่สั่งจ่ายไว้ล่วงหน้าสำหรับราคาเครื่องเสียงที่โจทก์จะติดตั้งให้ เมื่อไม่มีการติดตั้งโจทก์จึงไม่มีสิทธินำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินและฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นโดยคู่ความรับกันหรือมิได้โต้เถียงกันว่า นายแพทย์สถาพร ศรีเชียงสา ได้สั่งซื้อเครื่องเสียงจากโจทก์โดยได้ชำระราคาให้บางส่วน ที่เหลืออีก 295,000 บาท นายแพทย์สถาพรได้ออกเช็คให้โจทก์ไว้ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้เพราะนายแพทย์สถาพรมีคำสั่งให้ธนาคารตามเช็คระงับการจ่ายเงิน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการซื้อขายระหว่างโจทก์และนายแพทย์สถาพรเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด โจทก์ส่งมอบสินค้าและนายแพทย์สถาพรได้ชำระราคาด้วยเช็คพิพาทให้แล้ว เมื่อนายแพทย์สถาพรถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นทายาทต้องรับผิดตามเช็คดังกล่าว จากคำเบิกความของโจทก์ซึ่งตอบทนายโจทก์และทนายจำเลยถามค้านได้ความว่า นายแพทย์สถาพรได้สั่งซื้อเครื่องเสียงกับโจทก์โดยไม่ได้ระบุยี่ห้อ แต่ให้โจทก์จัดให้เพื่อใช้ในสถานบริการคาราโอเกะสินค้าที่ส่งไปครั้งแรกมีการทดลองเรียบร้อย ซึ่งจำเลยได้เบิกความว่าในการส่งมอบเครื่องเสียงโจทก์จะเป็นผู้จัดหามาติดตั้งที่สถานบริการคาราโอเกะ เห็นว่า ลักษณะการซื้อขายระหว่างโจทก์และนายแพทย์สถาพรในส่วนการส่งมอบโอนกรรมสิทธิ์เครื่องเสียงซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญาซื้อขายจะสำเร็จครบถ้วนได้ก็ด้วยการที่โจทก์จะต้องติดตั้งให้เรียบร้อยก่อน ทั้งนี้เพราะโจทก์ประกอบกิจการจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ารวมทั้งเครื่องเสียงย่อมต้องมีความรู้และความชำนาญในเรื่องดังกล่าว โจทก์เบิกความว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทคือการซื้อเครื่องเสียงตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 ประมาณ 24 รายการ เป็นเงิน 495,000 บาท นายแพทย์สถาพรออกเช็คสั่งจ่ายให้สองฉบับ ซึ่งจำเลยเบิกความว่าโจทก์นำเครื่องเสียงดังกล่าวส่วนหนึ่งไปติดตั้งที่ตึกเก่าคิดเป็นเงิน 100,000 บาทเศษส่วนที่เหลือยังไม่ได้ติดตั้ง นายแพทย์สถาพรได้สั่งจ่ายเช็คสองฉบับ ลงวันที่ 8 กันยายน 2537 จำนวนเงิน 200,000 บาท ซึ่งโจทก์ได้รับชำระเงินไปแล้ว อีกฉบับคือเช็คพิพาทลงวันี่ 8 ตุลาคม 2537 ซึ่งเห็นได้ชัดแจ้งว่าในการชำระราคานั้น นายแพทย์สถาพรชำระให้เฉพาะส่วนที่ส่งมอบด้วยการติดตั้งแล้ว ส่วนเช็คพิพาทลงวันที่ล่วงหน้าระยะเวลานาน เพราะถือว่ายังไม่ได้ติดตั้งจึงไม่เป็นการส่งมอบที่สมบูรณ์ ลักษณะการซื้อขายเช่นนี้โจทก์ยอมรับเพราะมิเช่นนั้นก็คงขอให้นายแพทย์สถาพรออกเช็คชำระราคาทั้งหมดในคราวเดียวกันเมื่อปรากฏว่าสินค้าที่โจทก์ติดตั้งให้ในคราวแรกนั้นมีความชำรุดบกพร่อง ซึ่งก็น่าเชื่อว่าในส่วนที่ยังไม่ได้ติดตั้งก็คงจะใช้งานไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ นายแพทย์สถาพรจึงมีสิทธิสั่งธนาคารให้ระงับการชำระเงินตามเช็คพิพาทได้ จำเลยเบิกความต่อมาว่าจำเลยได้โทรเลขและโทรศัพท์แจ้งโจทก์เรื่องการระงับเช็คและให้แก้ไขเครื่องเสียง ต่อมาโจทก์เดินทางมาดูแลยอมรับว่าสินค้ามีปัญหาและขอรับคืน แต่ขอหักค่าเสื่อมราคา 36 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในเรื่องนี้โจทก์ได้ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เคยเจรจากับจำเลยเกี่ยวกับการรับสินค้าส่วนที่ยังไม่ได้ใช้คืนโดยจะหักค่าเสื่อม 10 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าสินค้าในส่วนของราคาตามเช็คพิพาทยังไม่ได้ติดตั้ง การซื้อขายยังไม่เสร็จสมบูรณ์และโจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาต่อกันโดยโจทก์ยอมรับสินค้าคืน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระราคาสินค้าดังกล่าวจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องชำระเงินตามเช็คพิพาทให้โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน