คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6792/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายรวม 4 ครั้ง และกระทำชำเราผู้เสียหายรวม2 ครั้ง หลังจากกระทำความผิดในแต่ละครั้งแล้ว จำเลยมิได้ควบคุมหรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้เพื่อกระทำอนาจารหรือกระทำชำเราผู้เสียหายในครั้งต่อไปอีกผู้เสียหายกลับไปที่บ้านและมาโรงเรียนตามปกติ ผู้เสียหายจึงพ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละครั้งไปแล้ว แม้ว่าในแต่ละครั้งจำเลยจะกระทำไปโดยมีเจตนากระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายหรือกระทำชำเราผู้เสียหายเหมือนกันก็ตาม การกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละครั้งจึงเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายโดยมีเจตนาต่างกันและมิได้เป็นการกระทำต่อเนื่องกันแต่อย่างใด หากแต่การกระทำในแต่ละครั้งเป็นการกระทำที่จำเลยเกิดมีเจตนาขึ้นใหม่ในทุกครั้งที่ลงมือกระทำ มิใช่เจตนาเดิม การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ในความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้แต่เพียงว่า การกระทำของจำเลยในข้อหาดังกล่าวหาใช่เป็นความผิดกรรมเดียวไม่ ให้ลงโทษในความผิด 4 กรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกิน 5 ปี จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 279, 285และ 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 279 วรรคแรก ประกอบมาตรา 285 และมาตรา 277 วรรคสอง ประกอบมาตรา 285 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีจำคุก 4 ปี กระทงหนึ่ง และฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี จำคุก 12 ปีอีกกระทงหนึ่ง รวมจำคุก 16 ปี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 279 วรรคแรก ประกอบมาตรา 285 และมาตรา 277 วรรคสอง ประกอบมาตรา 285 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีรวม 4 กระทง จำคุกกระทงละ 4 ปี เป็นจำคุก 16 ปี และฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 12 ปี เป็นจำคุก 24 ปี รวมเป็นจำคุก40 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เด็กหญิง ก.ผู้เสียหายเกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2527 ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายอายุ 8 ปีเศษ และเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน ข. มีจำเลยเป็นครูประจำชั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาแก้แต่เพียงว่า การกระทำของจำเลยในข้อหาดังกล่าวหาใช่เป็นความผิดกรรมเดียวไม่ ให้ลงโทษในความผิด 4 กรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับข้อหาความผิดดังกล่าวมา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้คดีของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดฐานกระทำอนาจารจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ปัญหาข้อสุดท้ายเป็นปัญหาข้อกฎหมายซึ่งจำเลยฎีกาว่าการกระทำความผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียวเพราะเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องจากเจตนาเดิมนั้น เห็นว่า จำเลยกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายรวม 4 ครั้ง และกระทำชำเราผู้เสียหายรวม 2 ครั้ง หลังจากกระทำความผิดในแต่ละครั้งแล้ว จำเลยมิได้ควบคุมหรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้เพื่อกระทำอนาจารหรือกระทำชำเราผู้เสียหายในครั้งต่อไปอีก ผู้เสียหายกลับไปที่บ้านและมาโรงเรียนตามปกติผู้เสียหายจึงพ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละครั้งไปแล้วแม้ว่าในแต่ละครั้งจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนากระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายหรือกระทำชำเราผู้เสียหายเหมือนกันก็ตาม การกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละครั้งจึงเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายโดยมีเจตนาต่างกัน และมิได้เป็นการกระทำต่อเนื่องกันแต่อย่างใดหากแต่การกระทำในแต่ละครั้งเป็นการกระทำที่จำเลยเกิดมีเจตนาขึ้นใหม่ในทุกครั้งที่ลงมือกระทำ มิใช่เจตนาเดิม การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share