คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้มีบทบัญญัติให้สิทธิแก่คู่ความในอันที่จะตกลงกันหรือที่เรียกว่าท้ากัน ขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นข้อหนึ่งข้อใดโดยเฉพาะแล้วให้ศาลพิพากษาชี้ขาดไปตามประเด็นข้อที่ตกลงหรือท้ากันนั้นได้. และในการนี้จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138,182 ที่บัญญัติเกี่ยวกับการตกลงหรือท้ากันในคดีแพ่งมาใช้กับคดีอาญาโดยอนุโลม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ก็ไม่ได้. เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 บัญญัติบังคับห้ามมิให้ศาลพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง.
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสียค่าภาคหลวง.จำเลยมิได้ให้การรับสารภาพในข้อหานี้แต่รับสารภาพในข้ออื่นที่โจทก์มิได้ฟ้อง. เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน.ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้องจึงฟังไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้เก็บหาของป่าหวงห้ามในป่าเพื่อทำการเผาเอาถ่านไม้ จำนวนไม้ที่เผาเอาถ่านจะต้องเสียค่าภาคหลวงและค่าบำรุงป่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในกฎกระทรวงฉบับที่ 19(พ.ศ. 2507) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484ข้อ 2, 3, 4, 5, 6 และไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 29, 72 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2494 มาตรา 11 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503มาตรา 4, 14 กฎกระทรวงฉบับที่ 19 (พ.ศ. 2507) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ข้อ 2, 3, 4, 5, 6 จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้ว่า จำเลยได้รับใบอนุญาตแล้ว วันพิจารณาสืบพยานโจทก์ จำเลยแถลงรับว่าจำเลยได้ทำการเผาถ่านในนามของน้องสาวซึ่งได้รับใบอนุญาตเก็บหาของป่าสำหรับการเผาเอาถ่านขณะจำเลยเผาถ่านใบอนุญาตนั้นสิ้นอายุแล้ว แต่ไม้ที่จำเลยเอามาเผาถ่านเป็นไม้ที่จำเลยได้เสียค่าภาคหลวงแล้ว โจทก์จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นข้อเดียวว่า การที่จำเลยขาดต่ออายุในอนุญาตสำหรับเผาถ่านนั้นจะเป็นความผิดฐานเผาถ่านโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ทั้งสองฝ่ายไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยเผาถ่านเมื่อใบอนุญาตสิ้นอายุแล้วถือว่าจำเลยกระทำในนามตนเอง จึงมีผิดฐานเผาถ่านโดยไม่ได้รับอนุญาตพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 29, 72 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2494 มาตรา 11พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 14 ให้ปรับจำเลย3,000 บาท ลดฐานรับสารภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ2,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่โจทก์จำเลยได้แถลงต่อศาลขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นข้อเดียวว่า การที่จำเลยขาดต่ออายุใบอนุญาตสำหรับเผาถ่านนั้นจะเป็นความผิดฐานเผาถ่านโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่นั้น ในการพิจารณาและการพิพากษาคดีอาญานั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้มีบทบัญญัติให้สิทธิแก่คู่ความในอันที่จะตกลงกันหรือที่เรียกว่า ท้ากัน ขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นข้อหนึ่งข้อใดโดยเฉพาะ แล้วให้ศาลพิพากษาชี้ขาดไปตามประเด็นข้อที่ตกลงหรือท้ากันนั้นได้ และในการนี้จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138, 182 ที่บัญญัติเกี่ยวกับการตกลงกันหรือท้ากันในคดีแพ่งมาใช้กับคดีอาญาโดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ก็ไม่ได้ เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192บัญญัติบังคับไว้ว่าห้ามมิให้ศาลพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง คดีนี้ฟ้องของโจทก์บรรยายการกระทำผิดของจำเลยว่าจำเลยได้เก็บหาของป่าหวงห้ามในป่าเพื่อทำการเผาถ่านไม้ ตามฟ้องของโจทก์กล่าวถึงเฉพาะจำเลยกระทำการเก็บหาของป่าหวงห้ามในป่าเท่านั้นคำว่า “เพื่อทำการเผาเอาถ่านไม้” เป็นแต่เพียงข้อความที่ขยายให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าจำเลยเก็บหาของป่าหวงห้ามในป่านั้นเพื่อประสงค์จะเอาไปทำอะไร ฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวหาว่าจำเลยกระทำอันตรายแก่ของป่าหวงห้ามด้วยการเผาเพื่อเอาถ่านไม้หรือกล่าวหาว่าจำเลยกระทำการแปรรูปไม้หวงห้ามด้วยการเผา เพื่อถือเอาวัตถุธาตุหรือผลพลอยได้จากไม้นั้น ซึ่งจะเป็นความผิดฐานเผาถ่านโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ดังนั้น ข้อตกลงของคู่ความดังกล่าวแล้วจึงเป็นเรื่องที่คู่ความตกลงกันหรือท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องหรือโจทก์มิได้ขอให้ศาลลงโทษจำเลยในความผิดฐานนั้นข้อตกลงนี้จึงไม่ผูกมัดศาลให้จำต้องวินิจฉัยและพิพากษาไปตามนั้น แม้ศาลจะวินิจฉัยประเด็นที่คู่ความตกลงกันนี้ก็หาเกิดประโยชน์ไม่ เพราะศาลไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนั้นได้ คดีนี้จึงมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยจากฟ้องของโจทก์เพียงข้อเดียวว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสียค่าภาคหลวงของป่าหวงห้ามนั้นแล้วหรือไม่ซึ่งในประเด็นข้อนี้จำเลยมิได้ให้การรับสารภาพในข้อเก็บหาของป่าหวงห้ามจำเลยรับแต่ในข้อที่จำเลยเผาเอาถ่าน ส่วนข้อหาที่ว่าจำเลยไม่เสียค่าภาคหลวงของป่าหวงห้ามนั้น จำเลยก็อ้างว่าได้เสียค่าภาคหลวงแล้วเมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้องจึงฟังไม่ได้ จำเลยย่อมไม่มีความผิด พิพากษากลับคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองเป็นให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป.

Share