คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2108/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ใช้สิทธิทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยมากว่า 10 ปีโจทก์ย่อมได้ทรัพย์สินอย่างหนึ่งเรียกว่า “ภาระจำยอม” บนที่ดินของจำเลยโดยทางอายุความ เมื่อยังไม่จดทะเบียนจึงเข้าข่ายบังคับของ ม.1294 วรรค 2 เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ทรงทรัพย์สิทธิภาระจำยอมและถูกจำเลยรอบสิทธิเพียงเท่านี้ก็เป็นฟ้องที่ครบบริบูรณ์ตาม ป. วิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว ข้อจำเลยได้รับโอนมาโดยสุจริตหรือไม่ ๆ จำเป็นต้องกล่าวเพราะเป็นประเด็นอีกข้อหนึ่งเพิ่มเติมจากข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าว ต่อเมื่อจำเลยกล่าวอ้างขึ้นก็เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบกันต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ + ตำบลศิริราช จังหวัดธนบุรีมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๖๖ และได้ใช้ทางเดินจากบ้านผ่านที่ดินข้างเคียงโฉนดที่ ๒๗๘๗ ออกสู่ถนนสาธารณะมาเป็นเวลากว่า ๓๐ ปี ที่ดินดังกล่าวตกเป็นภาระจำยอมตามแผนที่ท้ายฟ้อง ประมาณพ.ศ.๒๔๙๕ จำเลยได้รับโอนที่ดินโฉนด ๒๗๘๗ และได้ทำการละเมิดปิดกั้นทางเดินไน โฉนดที่รับโอนโดยไม่ยอมให้โจทก์เดินออกในทางนั้น จึงขอให้จำเลยเลิกขัดขวางและเรียกค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้ว่าได้รับซื้อที่ดินโฉนดที่ ๒๗๘๗ ไว้โดยเสียค่าตอบแทนและสุจริต ขณะซื้อและจดทะเบียนกรรมสิทธิ์จำเลยไม่ทราบว่ามีภาระจำยอม และต่อสู้อื่น ๆ อีกหลายประการ
ศาลแพ่งชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา ๒๔ ที่โจทก์ว่าได้ใช้ทางผ่านที่ดินจำเลยมากว่า ๓๐ ปี แม้เป็นความจริงก็เป็นภาระจำยอมได้มาโดยทางอายุความมิใช่ทางนิติกรรมและยังไม่ได้จดทะเบียน เมื่อฟ้องมิได้กล่าวว่าจำเลยรับโอนโดยไม่สุจริตก็ไม่มีประเด็นจะสืบเพื่อเป็นคุณแก่โจทก์ตามป.พ.พ.ม. ๑๒๙๙ วรรค ๒ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยศาลชั้นต้นว่าฟ้องมิได้กล่าวว่ารับโอนโดยไม่สุจริต ประเด็นข้อนี้จึงไม่เกิด แต่เห็นต่อไปว่ากรณีไม่อยู่ในข่ายของมาตรา ๑๒๙๙ วรรค ๒ แต่เป็นเรื่องพิพาทกันว่าจำเลยจะมีสิทธิทำให้ภาระจำยอมรายนี้สิ้นสภาพไปได้หรือไม่ต่างหาก หากปรับด้วยมาตรา ๑๒๙๙ วรรค ๒ ผลก็จะเป็นว่าภาระจำยอมอาจต้องสิ้นไปในเมื่อภาระทรัพย์นั้นได้โอนทะเบียนเปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว เว้นเสียแต่ผู้รับโอนจะไม่ได้เสียค่าตอบแทนหรือรู้อยู่แล้วว่ามีภาระจำยอมซึ่งถ้ากฎหมายประสงค์เช่นนี้แล้วก็ควรต้องบัญญัติในลักษณะที่ว่าด้วยภาระจำยอมให้เป็นที่ประจักษ์แจ้งจะปรับด้วยมาตรา ๑๒๙๙ วรรค ๒ ไม่ได้ คดีควรได้รับการพิจารณาต่อไปว่า หากภาระจำยอมรายนี้มีอยู่ตามฟ้องของโจทก์จริง จะสิ้นสถาพไปเพราะกรรมสิทธิในภารยทรัพย์ได้โอนมาเป็นของจำเลยแล้วหรือไม่ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
แต่มีผู้พิพากษานายหนึ่งแย้งว่า เรื่องรับโอนไม่สุจริต โจทก์ไม่ต้องกล่าวในฟ้อง เพราะโจทก์กล่าวไว้แล้วว่าโจทก์มีทรัพย์สิทธิซึ่งกฎหมายรับรองให้มีสิทธิฟ้องร้องผู้ละเมิดสิทธิของคนได้และเป็นคนละเรื่องกับหน้าที่นำสืบ คดีนี้ปรับด้วยมาตรา ๑๒๙๙ วรรค ๒ ได้ กล่าวคือจำเลยโต้เถียงว่าเมื่อได้รับโอนไม่ทราบว่ามีภาระจำยอม แสดงว่ารับโอนโดยสุจริต ดังนี้ก็เกิดประเด็นข้อนี้ขึ้นมา ควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพะยานต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ แต่โดยคนละเหตุกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์ใช้สิทธิทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยมากว่า ๓๐ ปี โจทก์ย่อมได้ทรัพย์สิทธิอย่างหนึ่งเรียกว่า ” ภาระจำยอม” บนที่ดินของจำเลยโดยทางอายุความ เมื่อยังไม่จดทะเบียนจึงเข้าข่ายบังคับของมาตรา ๑๒๙๙ วรรค ๒ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ทรงทรัพย์สิทธิภาระจำยอมและถูกจำเลยรอนสิทธิ์เพียงเท่านี้ก็เป็นที่ครบบริบูรณ์ตาม ป.วิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๒ แล้ว ข้อจำเลยรับโอนมาโดยสุจริตหรือไม่ ๆ จำเป็นต้องกล่าวเพราะเป็นประเด็นอีกข้อหนึ่งเพิ่มเติมจากข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าว ต่อเมื่อจำเลยกล่าวอ้างขึ้นก็เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบกันต่อไป เห็นพ้องตามความเห็นแย้ง พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพะยาน แล้วพิพากษาใหม่

Share