แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยยอมเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่โจทก์ทั้งสามยอมเลิกการเช่านาและออกจากนาที่เช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่ใช้บังคับได้ กรณีมิใช่เป็นการให้โดยเสน่หาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 521 จึงไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 525 และ 526 บันทึกข้อตกลงที่ให้จำเลยเป็นผู้จัดหาที่ดิน ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง การที่โจทก์ทั้งสามนำสืบพยานบุคคลให้เห็นเจตนาของคู่กรณีว่าตกลงจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงใด จึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 27202 ตำบลข้าวงามอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 300 ตารางวา ให้โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 คนละ 150 ตารางวา หากจำเลยไม่ยอมไปโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ในการโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมเอง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาให้โจทก์ทั้งสามไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 24838 เลขที่ 56 ตำบลหนองกราด อำเภอด่านขุนทดจังหวัดนครราชสีมา โดยให้โจทก์ที่ 1 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 300 ตารางวาโจทก์ที่ 2 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 150 ตารางวา โจทก์ที่ 3 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 150 ตารางวา กับให้โจทก์ทั้งสามออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 27202ตำบลข้าวงาม อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้โจทก์ทั้งสามใช้ค่าขาดประโยชน์ในการใช้ที่ดินเดือนละ 9,000 บาท นับแต่วันที่จำเลยให้การและฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์ทั้งสามและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินและส่งมอบที่ดินคืนจำเลยในสภาพเรียบร้อย
โจทก์ทั้งสามให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 27202 ตำบลข้าวงาม อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้แก่โจทก์ที่ 1จำนวน 300 ตารางวา โอนให้แก่โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 คนละ 150 ตารางวา ตามที่โจทก์ทั้งสามครอบครองอยู่ตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.2 หากจำเลยไม่ยอมไปโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้โจทก์ทั้งสามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการโอนเองยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยกับพวกได้ขายที่ดินซึ่งเป็นที่นาที่โจทก์ทั้งสามเช่าให้แก่บริษัทไมตรีเกษตร จำกัด โจทก์ทั้งสามได้ตกลงเลิกการเช่านาดังกล่าวกับบริษัทไมตรีเกษตร จำกัด และตกลงกันว่าบริษัทไมตรีเกษตร จำกัด ต้องจัดหาที่ดินพร้อมโอนกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยแก่โจทก์ที่ 1จำนวน 300 ตารางวา โจทก์ที่ 2 และที่ 3 คนละ 150 ตารางวา โดยโจทก์ทั้งสามเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการโอนกรรมสิทธิ์ ในการตกลงครั้งนี้จำเลยได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย โดยจำเลยขอเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามแทนบริษัทไมตรีเกษตร จำกัด สำหรับกำหนดเวลาในการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่จะให้นั้นให้เป็นไปตามความพร้อมของโจทก์ทั้งสาม ซึ่งจำเลยลงชื่อเป็นผู้ยินยอมให้ที่ดินตามบันทึกตกลงเลิกการเช่านาเอกสารหมาย จ.1 (จ.4) มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยตกลงโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสามหรือไม่ และโจทก์ทั้งสามมีสิทธิฟ้องเรียกเอาที่พิพาทหรือไม่ ซึ่งจะได้วินิจฉัยปัญหาทั้งสองข้อพร้อมกันไป เห็นว่า ตามบันทึกตกลงเลิกการเช่านาเอกสารหมาย จ.1 (จ.4) ทำขึ้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2531เพื่อต้องการให้โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นผู้เช่านาเลิกการเช่านาและออกจากนาที่เช่าพร้อมกับรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน นับแต่วันทำบันทึกเอกสารดังกล่าว ส่วนจำเลยมีหน้าที่ต้องจัดหาที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยแม้ในบันทึกจะมิได้กำหนดเวลาแน่ชัดว่าเมื่อใด แต่ย่อมคาดคะเนได้ว่าต้องไม่ชักช้าเนื่องจากเมื่อโจทก์ทั้งสามรื้อถอนบ้านแล้วไม่มีที่อยู่อาศัย และได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ทั้งสามว่า จำเลยได้จัดแบ่งที่ดินซึ่งอยู่ใกล้กับที่ดินที่จำเลยขายเป็น 11 แปลงแปลงละ 150 ตารางวา มีถนนผ่ากลางกว้าง 6 ศอก แล้วให้โจทก์ทั้งสามกับพวกจับสลากว่าผู้ใดจะได้ที่ดินแปลงใด เมื่อโจทก์ทั้งสามได้รับที่ดินพิพาทแล้วก็ทำการปลูกบ้านลงไปในที่ดินที่จำเลยจัดให้ปรากฏตามแผนที่สังเขปและภาพถ่ายบ้านภาพที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 นอกจากนี้ยังปรากฏจากคำเบิกความของนายนิรุตติ ใจสัจจะ นายอำเภอวังน้อยในขณะนั้นว่า พยานเป็นผู้ไกล่เกลี่ยโจทก์ทั้งสามกับจำเลยจนตกลงกันได้และได้มีการทำบันทึกตามเอกสารหมาย จ.1 (จ.4) ไว้ การกระทำต่าง ๆ ของจำเลยเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยตกลงโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสามโดยให้โจทก์ทั้งสามจับสลากตั้งแต่ทำบันทึกเอกสารหมาย จ.1 (จ.4) เสร็จแล้ว เมื่อโจทก์ทั้งสามยอมจับสลากจนได้ที่พิพาทตามที่จำเลยเสนอและปลูกบ้านลงในที่พิพาทเช่นนี้แสดงว่าโจทก์ทั้งสามยอมรับเอาที่พิพาทจากจำเลยแล้ว การที่ต่อมาจำเลยไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทแก่โจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทได้ ที่จำเลยฎีกาว่า การให้ทรัพย์ที่พิพาทไม่มีการทำเป็นหนังสือจึงเป็นเพียงคำมั่นว่าจะให้ ซึ่งมิได้เป็นไปตามมาตรา 525 และ 526 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น เห็นว่า การที่จำเลยยอมเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่โจทก์ทั้งสามยอมเลิกการเช่านาและออกจากนาที่เช่า จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน ใช้บังคับกันได้ กรณีมิใช่เป็นการให้โดยเสน่หาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 521 จึงไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 และ 526 ที่จำเลยฎีกาว่าศาลรับฟังพยานบุคคลที่โจทก์ทั้งสามนำสืบว่าที่พิพาทคือที่ดินที่จำเลยเจตนายกให้โจทก์ทั้งสามเป็นการรับฟังพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมข้อความในบันทึกข้อตกลงที่จำเลยเป็นผู้จัดหาที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 (จ.4) ซึ่งไม่ได้กำหนดว่าเป็นที่ดินแปลงใดขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นั้น เห็นว่าบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.1 (จ.4) ดังกล่าวไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดงการที่โจทก์ทั้งสามนำสืบพยานบุคคลให้เห็นเจตนาของคู่กรณีว่าตกลงจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงใด จึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิขอให้บังคับโจทก์ทั้งสามรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 24838 แทนที่พิพาทและให้โจทก์ทั้งสามร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์ในการใช้ที่ดินเดือนละ 9,000 บาท นั้นเห็นว่า เมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสามแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้บังคับโจทก์ทั้งสามรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 24838 และไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ดังกล่าวจากโจทก์ทั้งสาม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน