คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6613/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

น. เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันกับจำเลยที่ 1 บ้านอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตรเคยเห็นจำเลยที่ 1 มาก่อนเกิดเหตุ ย่อมจำจำเลยที่ 1 ได้ไม่ผิดตัวแน่นอน และไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงว่า น. จะแกล้งใส่ร้ายปรักปรำจำเลยที่ 1 การที่ น. ไม่ได้ร้องตะโกนบอกชาวบ้านให้มาช่วยดับไฟและไม่ได้ไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจทันที เพราะผู้ชุมนุมประท้วงมีมากและเจ้าพนักงานตำรวจกับประชาชนเข้าไปดับไฟก็ถูกผู้ชุมนุมประท้วงขัดขวางและทำร้ายจนไม่สามารถดับไฟได้เช่นนี้ ไม่ได้เป็นเหตุให้ไม่น่าเชื่อว่า น.ไม่เห็นเหตุการณ์ คำเบิกความของ น. สมเหตุสมผล แม้โจทก์จะมี น. เป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวก็มีน้ำหนักน่าเชื่อถือพยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองและวางเพลิงเผาทรัพย์ การสอบคำให้การ ต. และนายดาบตำรวจ ป. มีขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 2 ถูกจับกุมแม้ข้อความที่บันทึกจะเป็นพยานบอกเล่าและไม่ได้ทำต่อหน้าจำเลยที่ 2 ก็สามารถใช้รับฟังประกอบคำเบิกความของพันตำรวจโท ร. ซึ่งเป็นประจักษ์พยานลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ จำเลยที่ 2 ถือกระป๋องน้ำมันมา และมีผู้ถือคบเพลิง 10 ถึง 20 คน เข้าไปรายล้อมจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 เทน้ำมันจากกระป๋องลงไปที่คบเพลิง พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ผิดแผกไปจากผู้ประท้วงอื่น ย่อมทำให้จำเลยที่ 2 โดดเด่นน่าสนใจกว่าผู้ประท้วงอื่นการที่พันตำรวจโทร. จำจำเลยที่ 2 ได้ จึงเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือแม้พยานโจทก์จะไม่มีผู้ใดเบิกความว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนจุดไฟเผาอาคารที่เกิดเหตุแต่คำเบิกความของพันตำรวจโท ร. ประกอบบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของ ต.และนายดาบตำรวจ ป. รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนราดน้ำมันลงในคบเพลิงที่ใช้โยนขึ้นไปเผาหลังคาอาคารเก็บพัสดุ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับผู้ที่จุดไฟคบเพลิงโยนขึ้นไปบนหลังคาอาคารเก็บพัสดุอันเป็นการวางเพลิงเผาอาคารดังกล่าวแล้ว

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกจำเลยในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 2
คดีทั้งสองสำนวนโจทก์ฟ้องเป็นทำนองเดียวกันขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 140, 215, 217, 218, 295, 335, 362, 364,365 ริบของกลาง และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2347/2536 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรคแรก, 217, 218(1)(4) เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218(1)(4) จำคุกคนละ20 ปี ยกฟ้องข้อหาอื่น คำขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่2347/2536 ให้ยกเพราะคดีดังกล่าวศาลมิได้ลงโทษจำคุก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่15 กันยายน 2535 เวลาประมาณ 8 นาฬิกา มีชาวบ้านประมาณ 800 คน มาชุมนุมประท้วงที่สถานีทดลองยางบุรีรัมย์ ในที่สุดผู้ประท้วงได้จุดไฟเผาอาคารเก็บพัสดุบ้านพักคนงาน และอาคารอื่นในสถานีทดลองยางบุรีรัมย์เสียหาย โดยกลุ่มผู้ประท้วงได้ขว้างก้อนหินเข้าใส่เจ้าพนักงานตำรวจและคนงานของสถานีทดลองยางบุรีรัมย์เพื่อขัดขวางไม่ให้ดับไฟ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดฐานร่วมกันก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองและวางเพลิงเผาทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า สำหรับจำเลยที่ 1 พยานโจทก์มีนางสาวนิรันดร์ บุญเขื่อง ซึ่งเป็นลูกจ้างของสถานีทดลองยางบุรีรัมย์เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุขณะชาวบ้านมาชุมนุมกันที่อาคารเอนกประสงค์ พยานอยู่ที่อาคารเอนกประสงค์ ต่อมาเมื่อผู้ชุมนุมโยนคบเพลิงขึ้นไปบนหลังคาอาคารเก็บพัสดุซึ่งมุงด้วยหญ้าคา เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นและผู้ชุมนุมได้ไปเผาบ้านพักรองหัวหน้าสถานีทดลองยางบุรีรัมย์ พยานจึงกลับไปเก็บของที่บ้านพักพยานแล้วพยานออกมายืนอยู่ที่ป่ายางข้างบ้านพัก เห็นจำเลยที่ 1นายยอด เข็มขัด นายนาย เลขนอก กับพวกรวมทั้งหมด 5 ถึง 6 คน มาที่บ้านพักคนงานที่พยานอาศัยอยู่จำเลยที่ 1 จุดไม้ขีดไฟเผาหลังคาบ้านพักคนงานห่างพยาน 6 ถึง 7 เมตรพยานเข้าไปขอร้องไม่ให้เผาพร้อมกับร้องไห้ แต่จำเลยที่ 1 กับพวกไม่ฟัง หลังจากจุดไฟขึ้นแล้วจำเลยที่ 1 ยืนมองดูอยู่ประมาณ 5 ถึง 6 นาที จึงจากไป ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันนางสาวนิรันดร์เห็นจำเลยที่ 1 ในระยะใกล้ทั้งยังเข้าไปพูดขอร้องจำเลยที่ 1ไม่ให้เผาบ้านพัก เมื่อจุดไฟเผาแล้วจำเลยที่ 1 ยังยืนมองดูอยู่อีก 5 ถึง 6 นาที นางสาวนิรันดร์เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันกับจำเลยที่ 1 บ้านอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร เคยเห็นจำเลยที่ 1 มาก่อนเกิดเหตุ นางสาวนิรันดร์ย่อมจำจำเลยที่ 1 ได้ไม่ผิดตัวแน่นอนนางสาวนิรันดร์ไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงว่านางสาวนิรันดร์จะแกล้งใส่ร้ายปรักปรำจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่านางสาวนิรันดร์ไม่ได้ตะโกนบอกให้ประชาชนทราบเพื่อให้มาช่วยดับเพลิงทั้งไม่ได้แจ้งเจ้าพนักงานตำรวจทันทีจึงไม่น่าเชื่อว่านางสาวนิรันดร์จะอยู่ในเหตุการณ์ด้วยนั้น เห็นว่าผู้ที่ไปชุมนุมประท้วงมีประมาณ 800 คน ซึ่งเป็นพวกเดียวกับจำเลยที่ 1 นั่นเอง ในเมื่อผู้มาร่วมชุมนุมประท้วงกับผู้จุดไฟวางเพลิงเป็นพวกเดียวกันและการจุดไฟเผาอาคารเก็บพัสดุซึ่งเกิดขึ้นก่อน เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจและคนงานเข้าไปดับไฟก็ถูกผู้ที่มาชุมนุมประท้วงขัดขวางและทำร้ายจนเจ้าพนักงานตำรวจและคนงานไม่สามารถดับไฟได้ทั้งยังมีอาคารและบ้านพักอีกหลายหลังถูกวางเพลิงก่อนหน้าที่บ้านพักที่นางสาวนิรันดร์อาศัยอยู่จะถูกวางเพลิง จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่นางสาวนิรันดร์จะตะโกนบอกให้ประชาชนทราบเพื่อให้มาช่วยดับเพลิงกลับจะเป็นเหตุให้ถูกทำร้ายเสียอีก สำหรับการแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจในทันทีนั้นในเมื่อการเผาอาคารเก็บพัสดุเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเจ้าพนักงานตำรวจเจ้าพนักงานตำรวจก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ อย่าว่าแต่การจับกุมผู้วางเพลิงเผาทรัพย์เลยแม้แต่การดับไฟเจ้าพนักงานตำรวจก็ยังถูกผู้ร่วมชุมนุมซึ่งมีจำนวนมากกว่าหลายเท่าขัดขวางและทำร้ายจนไม่สามารถดับไฟได้ การไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจในขณะนั้นทันทีย่อมไม่มีผลอะไร ทั้งนางสาวนิรันดร์ได้เก็บสิ่งของออกจากบ้านพักย่อมเป็นห่วงสิ่งของของตนมากกว่า การที่นางสาวนิรันดร์ไม่ได้ร้องตะโกนบอกชาวบ้านให้มาช่วยดับไฟและไม่ได้ไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจทันที ไม่ได้เป็นเหตุให้ไม่น่าเชื่อว่านางสาวนิรันดร์ไม่เห็นเหตุการณ์ นางสาวนิรันดร์เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวจำเลยที่ 1 กับพวกมีจำนวน 5 ถึง 6 คน แม้จะเป็นห่วงบ้านที่ตนพักเพียงใดนางสาวนิรันดร์ย่อมไม่กล้าขัดขวางจำเลยที่ 1 กับพวก การที่นางสาวนิรันดร์เข้าไปขอร้องจำเลยที่ 1 ไม่ให้เผาบ้านพักของตน ในภาวะเช่นนั้นเป็นการกระทำที่สมควรแก่เหตุการณ์แล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยอมฟัง นางสาวนิรันดร์จึงได้แต่ร้องไห้เพราะไม่สามารถขัดขวางจำเลยที่ 1 ได้ คำเบิกความของนางสาวนิรันดร์สมเหตุสมผล แม้โจทก์จะมีนางสาวนิรันดร์เป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว คำเบิกความของนางสาวนิรันดร์ก็มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่านายฉอ้อน เบื้องกลาง นางสาวเตี้ยหรือเตี๋ยอุ่นสำโรง นายบดี นพวงศ์ ณ อยุธยา และนางสาวพนิดา แก้วกระจ่าง พยานโจทก์ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุไม่เห็นจำเลยที่ 1 อยู่ในกลุ่มชาวบ้านที่มาประท้วงจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดนั้น เห็นว่า ผู้ที่มาประท้วงมีจำนวนประมาณ800 คน ทั้งที่เกิดเหตุก็มีบริเวณกว้างมากและขณะเกิดเหตุมีการชุลมุนวุ่นวาย มีเพลิงไหม้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จะพบเห็นผู้ที่มาร่วมชุมนุมทุกคน การที่พยานโจทก์ดังกล่าวไม่พบเห็นจำเลยที่ 1 ไม่ได้แสดงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ไปร่วมชุมนุมประท้วงด้วย หากโจทก์มีพยานยืนยันว่าเห็นจำเลยที่ 1 เข้าร่วมชุมนุมด้วย ก็รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เข้าร่วมชุมนุมประท้วงด้วยได้ ซึ่งพยานโจทก์นอกจากนางสาวนิรันดร์แล้วยังมีนายชัยณรงค์ ฉิมนอก เบิกความว่า เห็นจำเลยที่ 1 อยู่ในกลุ่มชาวบ้านที่มาประท้วงร้อยตำรวจเอกกิตติ ฤทธิ์เวโรจน์ เบิกความว่า เห็นจำเลยที่ 1 ร่วมชุมนุมด้วย พยานเคยเห็นหน้าจำเลยที่ 1 มาก่อนหลายครั้งตอนออกตรวจท้องที่ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ได้ร่วมชุมนุมประท้วงด้วย ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าตามคำเบิกความของนายดาบตำรวจประเสริฐ รักษาคุณ พยานโจทก์แสดงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิดนั้น เห็นว่านายดาบตำรวจประเสริฐเบิกความว่า จำเลยที่ 1 เดินไปกับพวกพยานไปที่บ้านพักหัวหน้าสถานีขณะนั้นเป็นเวลาก่อนเที่ยง ไฟไหม้โรงรถแล้ว พยานบอกจำเลยที่ 1ให้ช่วยดูแลเหตุการณ์ด้วยเนื่องจากจำเลยที่ 1 คอยเป็นสายลับให้ จำเลยที่ 1 บอกว่ามีชาวบ้านเก็บของของทางราชการไป จำเลยที่ 1 ตามพยานไป ก่อนถึงบ้านที่จะไปเก็บของจำเลยที่ 1 แยกตัวไป ตามคำเบิกความของนายดาบตำรวจประเสริฐไม่ได้แสดงว่าจำเลยที่ 1 อยู่กับนายดาบตำรวจประเสริฐตลอดเวลา คำเบิกความของนายดาบตำรวจประเสริฐไม่อาจยืนยันได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิด เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองและวางเพลิงเผาทรัพย์ พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
สำหรับจำเลยที่ 2 โจทก์มีพันตำรวจโทโรมรัน จินดานุภาพ พนักงานสอบสวนเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุพยานยืนอยู่หน้าอาคารอเนกประสงค์ห่างกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 30 เมตร เห็นจำเลยที่ 2 ถือกระป๋องน้ำมัน มีผู้ชุมนุมซึ่งถือคบเพลิงประมาณ 10 ถึง 20 คน เดินเข้าไปหาจำเลยที่ 2 และยืนอยู่รอบจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2เทของในกระป๋องน้ำมันลงไปที่คบเพลิง จากนั้นมีการจุดไฟที่คบเพลิงนั้นแล้วผู้ที่ถือคบเพลิงขว้างคบเพลิงขึ้นไปบนหลังคาห้องพัสดุซึ่งเป็นหญ้าคาไฟลุกลามขึ้นนอกจากนี้พยานโจทก์ยังมีนางสาวเตี้ยหรือเตี๋ย อุ่นสำโรง เบิกความว่า เห็นจำเลยที่ 2 ในที่เกิดเหตุด้วยแม้พยานปากนี้จะเบิกความว่าจำเลยที่ 2 อยู่ในกลุ่มผู้ที่มาดูเหตุการณ์จำเลยที่ 2ถือไม้เรียวเล็ก ๆ อยู่ในมือ แต่ปรากฏตามบันทึกคำให้การพยานเอกสารหมาย จ.7 ว่าในชั้นสอบสวนนางสาวเตี้ยให้การว่า เมื่อเวลาประมาณ 11 นาฬิกา นางสาวเตี้ยเห็นจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันเอากระป๋องน้ำมันมาให้พวกวัยรุ่นราดใส่คบเพลิงและปรากฏตามบันทึกคำให้การ ในชั้นสอบสวนของนายดาบตำรวจประเสริฐ รักษาคุณพยานตามเอกสารหมาย จ.8 ให้การว่านายดาบตำรวจประเสริฐเห็นจำเลยที่ 2 เอากระป๋องน้ำมันมาเทน้ำมันราดใส่คบเพลิงให้นายฝนเหนือ เข็มขัด กับพวก และจุดไฟลุกขึ้น แล้วพากันโยนขึ้นใส่หลังคาโรงเก็บพัสดุและโรงรถ แม้ในชั้นศาลนายดาบตำรวจประเสริฐจะไม่ได้เบิกความถึงจำเลยที่ 2 แต่ก็เบิกความว่านายฝนเหนือ เข็มขัด กับพวกใช้คบเพลิงโยนขึ้นไปบนหลังคาโรงรถ ตามคำเบิกความของนางสาวเตี้ยและนายดาบตำรวจประเสริฐไม่ปรากฏว่าพยานทั้งสองถูกบังคับให้ลงชื่อในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 หากข้อความในเอกสารดังกล่าวไม่ถูกต้องพยานทั้งสองไม่น่าจะลงชื่อรับรอง พยานทั้งสองต่างก็เบิกความรับว่าพยานทั้งสองต่างก็อยู่ในที่เกิดเหตุขณะเกิดเหตุและเห็นเหตุการณ์ตอนที่มีคนจุดคบเพลิงโยนขึ้นไปบนหลังคาอาคารจึงน่าเชื่อว่าพยานทั้งสองต่างก็เห็นเหตุการณ์ตอนที่มีการราดน้ำมันใส่คบเพลิงด้วยเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 ทำขึ้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2535 และวันที่ 26 ตุลาคม 2535 พันตำรวจโทโรมรัน พนักงานสอบสวนไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน จำเลยที่ 2 ถูกจับในคดีการพนันเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2537 และถูกแจ้งข้อหาคดีนี้เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2537 การสอบคำให้การนางสาวเตี้ยและนายดาบตำรวจประเสริฐมีขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 2 ถูกจับกุม ไม่น่าเชื่อว่าการสอบปากคำพยานทั้งสองได้ทำขึ้นเพื่อปรักปรำจำเลยที่ 2 จึงรับฟังได้ว่าพยานทั้งสองได้ให้การในชั้นสอบสวนตามที่บันทึกไว้ในเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 จริง แม้ข้อความที่บันทึกนั้นจะเป็นพยานบอกเล่าและไม่ได้ทำต่อหน้าจำเลยที่ 2 ก็สามารถใช้รับฟังประกอบกับคำเบิกความของพันตำรวจโทโรมรันซึ่งเป็นประจักษ์พยานลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ จำเลยที่ 2 อ้างว่า พันตำรวจโทโรมรันไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าจะจำจำเลยที่ 2 ได้ เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ใช่แกนนำของผู้ประท้วงนั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ใช่แกนนำ แต่การที่จำเลยที่ 2 ถือกระป๋องน้ำมันมา และมีผู้ถือคบเพลิง 10 ถึง 20 คน เข้าไปรายล้อมจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 เทน้ำมันจากกระป๋องน้ำมันลงไปที่คบเพลิง พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ผิดแผกไปจากผู้ประท้วงอื่นย่อมทำให้จำเลยที่ 2 โดดเด่นน่าสนใจกว่าผู้ประท้วงอื่น การที่พันตำรวจโทโรมรันจำจำเลยที่ 2 ได้ จึงเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือ และที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าหากพันตำรวจโทโรมรันเห็นจำเลยที่ 2 กระทำผิดจริงก็น่าจะจับจำเลยที่ 2 ในขณะนั้นเห็นว่า ผู้ที่พันตำรวจโทโรมรันเห็นขณะกระทำผิดมีด้วยกันหลายคน มิใช่มีจำเลยที่ 2 เพียงผู้เดียว แต่พันตำรวจโทโรมรันไม่ได้จับผู้ใดเนื่องจากแม้แต่การห้ามปรามก็ไม่มีผู้ใดฟังกลับเผาอาคารต่าง ๆ และเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจกับคนงานเข้าไปดับไฟยังถูกผู้ประท้วงขัดขวางทำร้ายจนไม่สามารถดับไฟได้ หากพันตำรจโทโรมรันจับผู้หนึ่งผู้ใดในขณะนั้นต้องถูกผู้ประท้วงซึ่งมีจำนวนมากกว่ามาขัดขวางและเหตุการณ์จะลุกลามใหญ่โตพันตำรวจโทโรมรันจึงไม่กล้าจับจำเลยที่ 2 ในขณะนั้น แต่พันตำรวจโทโรมรันก็ได้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 และผู้ประท้วงบางคนไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2535 ตามหมายจับเอกสารหมาย จ.48 หาใช่เพิ่งจะตั้งข้อหาจำเลยที่ 2 หลังจากจับจำเลยที่ 2 ได้ในคดีอื่น ส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างว่า พยานโจทก์ไม่มีผู้ใดยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนจุดไฟเห็นว่า แม้พยานโจทก์จะไม่มีผู้ใดเบิกความว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนจุดไฟเผาอาคารที่เกิดเหตุแต่ตามคำเบิกความของพันตำรวจโทโรมรันประกอบบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนางสาวเตี้ยและนายดาบตำรวจประเสริฐเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนราดน้ำมันลงในคบเพลิงที่ใช้โยนขึ้นไปเผาหลังคาอาคารเก็บพัสดุถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับผู้ที่จุดไฟคบเพลิงดังกล่าวโยนขึ้นไปบนหลังคาอาคารเก็บพัสดุ อันเป็นการวางเพลิงเผาอาคารดังกล่าวแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามข้อหาดังกล่าวมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นแต่ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจกำหนดโทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสองหนักเกินไปเห็นสมควรแก้ไขโดยกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดี”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share