แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ เพื่ออนุญาตให้นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าผู้ขอเป็นคนยากจน คู่ความย่อมอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้ จำเลยยื่นคำร้องขอนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าจำเลยยากจน แต่ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำฟ้องและคำให้การแล้วว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินส่วนของจำเลยให้โจทก์ในราคาสูงถึง 977,450 บาท ดังนี้แม้จำเลยจะมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมอื่นใดก็ไม่อาจรับฟังหักล้างข้อเท็จจริงที่ยุติดังกล่าวแล้วได้ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะยกคำร้องของจำเลยเสียได้โดยไม่ต้องไต่สวน.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทำสัญญาและจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 8230 เฉพาะส่วนของจำเลย กับชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยถึงแก่ความตาย นางสาครบรรพโตบุตรจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยยื่นอุทธรณ์พร้อมคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าจำเลยเป็นคนยากจน ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่
ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ทั้งสองแก้ฎีกาว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นที่สุดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคห้านั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยใหม่ เพื่ออนุญาตให้นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าจำเลยเป็นคนยากจนคู่ความย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้ ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าคำสั่งของศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดและกรณีนี้ไม่อาจปรับให้เข้ากรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคห้า ได้ฎีกาของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามแต่ประการใด
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งใหม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำร้องของจำเลยอ้างว่า มีพยานที่จะนำมาแสดงต่อศาลเพื่อให้รับฟังว่าบ้านและที่ดิน (คนละแปลงกับที่ดินพิพาท) มิใช่ของจำเลย พยานหลักฐานของโจทก์ที่อ้างว่าบ้านและที่ดินเป็นของจำเลยเป็นเพียงพยานบอกเล่ารับฟังไม่ได้ แต่ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำฟ้องของโจทก์และตามที่จำเลยยอมรับในคำให้การแล้วว่า จำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับบุคคลอื่นในที่ดินโฉนดเลขที่ 8230 ตำบลชะแมบ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยนั้น จำเลยทำสัญญาจะขายให้โจทก์ในราคาสูงถึง 977,450 บาท ถึงแม้จำเลยมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมอื่นใดก็ไม่อาจรับฟังหักล้างข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วดังกล่าวนี้ได้ จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยแล้วมีคำสั่งใหม่ดังที่จำเลยฎีกา
พิพากษายืน หากจำเลยยังติดใจอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 10 วัน นับแต่วันทราบคำพิพากษานี้.