คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4988/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อพยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบมาฟังได้ว่า จำเลยมีทรัพย์สินเป็นที่ดินจำนวนหลายแปลง ซึ่งแม้ที่ดินดังกล่าวจะติดจำนองทุกแปลง และจำเลยนำสืบว่าราคาที่แท้จริงมากกว่ามูลค่าจำนองโดยการประมาณของจำเลยเอง โดยไม่มีหลักฐานจากสำนักงานที่ดินมายืนยันสนับสนุน แต่จำเลยก็มีที่ดินอยู่มากแปลงซึ่งเมื่อรวมมูลค่ากันแล้ว ส่วนที่เกินจากการถูกบังคับจำนองก็น่าจะมีมูลค่าเหลืออยู่เป็นเงินจำนวนสูง นอกจากนี้จำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นอีกมาก และยังประกอบอาชีพมีรายได้ รวมทั้งจำเลยนำสืบได้อีกว่าช. ลูกหนี้โจทก์ซึ่งจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ยังประกอบธุรกิจหากโจทก์บังคับคดีแก่ ช. ก็จะได้ชำระหนี้ส่วนหนึ่ง สรุปแล้วจำเลยนำสืบมาพอที่จะเชื่อได้ว่า จำเลยยังอยู่ในฐานะที่อาจชำระหนี้ได้ กรณีมีเหตุไม่ควรให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทชัยพัฒนภัณฑ์ จำกัด นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายลดให้แก่โจทก์เป็นเงิน 10,608,400 บาท โดยจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้สินทุกประเภทที่บริษัทชัยพัฒนภัณฑ์ จำกัด มีต่อโจทก์ ต่อมาบริษัทชัยพัฒนภัณฑ์ จำกัด เป็นหนี้โจทก์อยู่รวมเป็นเงิน10,026,212.75 บาท โจทก์ได้ฟ้องบริษัทชัยพัฒนภัณฑ์ จำกัด ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้บริษัทชัยพัฒนภัณฑ์ จำกัดชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 11,023,858.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามคดีหมายเลขแดงที่ 14875/2528 นับแต่ศาลได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วบริษัทชัยพัฒนภัณฑ์ จำกดั ผิดนัดไม่เคยชำระหนี้ให้แก่โจทก์เลย ในฐานะที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดชำระเงิน 11,023,858.50 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย โจทก์ได้ทวงถามจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้แล้วสองครั้งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยทั้งสองไม่สามารถชำระให้โจทก์ได้ และยังเป็นหนี้บุคคลอื่นอีก จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายต่อไป
จำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลายหรือไม่ จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยทั้งสองทำการค้าโดยร่วมกันเป็นผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดชัยกิจภิญโญ อิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ต มีจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และห้างหุ้นส่วนจำกัด เอลริแกนซ์อิมปอร์ตเอ็กซืปอร์ตมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการปรากฏตามเอกสารหมาย ล.5 และ ล.6 ห้างหุ้นส่วนจำกัดทั้งสองผลิตเสื่อผ้าสำเร็จรูปส่งขายทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีเงินทุนหมุนเวียนอยู่หลายสิบล้าน มีทรัพย์สินเป็นที่ดินและเครื่องจักรในทางการค้ากับต่างประเทศเคยมีลูกค้าสั่งสินค้ามาแล้วเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตมาให้แล้วหมายสิบรายมีลูกค้าจากประเทศสิงคโปร์ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตสั่งซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป 2 ฉบับ เป็นเงิน 13,000,000 บาทปรากฏตามเอกสารหมาย ล.7 ถึง ล.10 ซึ่งเลตเตอร์ออกเครดิตทั้ง 2ฉบับนี้อาจนำไปขายให้ธนาคารในทันทีได้เงินไม่ต่ำกว่า 13,000,000บาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดทั้งสองมีเครื่องจักรปรากฏตามใบเสร็จรับเงินค่าเครื่องจักรเอกสารหมาย ล.11 ถึง ล.37 มีมูลค่าประมาณ2,000,000 บาท และเครื่องจักรที่ไม่มีใบเสร็จรับเงินอีกประมาณ3,000,000 ถึง 4,000,000 บาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดเอลริแกนอิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ต มีที่ดินจำนองไว้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัดซึ่งมูลค่าของที่ดินมากกว่ามูลค่าราคาจำนองประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ที่ดินดังกล่าวอาจขายได้ในราคา 20,000,000 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.38 ถึง ล.40 และมีที่ดินของห้างหุ้นส่วนจำกัดชัยกิจภิญโญ อิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ต จำนองไว้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ จำกัด เป็นเงิน 500,000 บาท ราคาที่ดินที่แท้จริงประมาณ 800,000 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.41 ถึง ล.42กับห้างหุ้นส่วนจำกัดชัยกิจภิญโญ อิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ต มีที่ดินจำนองไว้แก่ธนาคารกสิกรไทย เป็นเงิน 3,500,000 บาท ราคาที่ดินที่แท้จริงเป็นเงินประมาณ 7,500,000 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.42 ถึง ล.47กับจำเลยที่ 1 ยังมีที่ดินที่จำนองไว้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดเป็นเงิน 2,500,000 บาท ราคาที่ดินที่แท้จริงและสิ่งปลูกสร้างรวมเป็นเงินประมาณ 5,500,000 บาทตามเอกสารหมาย ล.48 ล.49 และยังมีที่ดินจำนองไว้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นเงินประมาณ 800,000บาท ราคาที่ดินจริง ๆ ประมาณ 1,500,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.40ล.51 และที่ดินจำนองไว้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด อยู่ 10,000,000บาท ราคาจริง ๆ ประมาณ 18,000,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.52 ล.53และห้างหุ้นส่วนจำกัดชัยกิจภิญโญอิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ต จำนองที่ดินไว้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ จำกัด เป็นเงิน 5,000,000 บาทราคาที่ดินจริงประมาณ 10,000,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.54 ล.55ปัจจุบันบริษัทชัยพัฒนภัณฑ์ จำกัด ยังประกอบกิจการค้าตั้งอยู่ที่ถนนราชปรารภ และบ้านของจำเลยทั้งสองยังมีทรัพย์สินอยู่ในบ้านราคาประมาณ 3,000,000 ถึง 4,000,000 บาท บริษัทชัยพัฒนภัณฑ์ จำกัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์แล้ว แต่โจทก์มิได้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินของบริษัทดังกล่าวทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสองมีอยู่สามารถนำมาพอชำระหนี้แก่โจทก์ได้
พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสองนำสืบให้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีทรัพย์สินอยู่เป็นที่ดินรวมทั้งที่ดินของห้างหุ้นส่วนจำกัดชัยกิจภิญโญ อิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ต กับห้างหุ้นส่วนจำกัดเอลริแกนอิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ต เห็นว่า แม้ที่ดินทั้งหมดจะติดจำนองอยู่ก็ตามแต่ก็เชื่อได้ว่าธนาคารหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ผู้รับจำนองจะไม่รับจำนองเต็มตามราคาที่แท้จริงของที่ดินดังกล่าว หากถูกบังคับจำนองก็น่าจะมีเงินเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง และแม้จำเลยทั้งสองจะนำสืบว่าราคาที่แท้จริงมากกว่ามูลค่าจำนองโดยการประมาณของจำเลยเอง ไม่มีพยานหลักฐานจากสำนักงานที่ดินมายืนยันสนับสนุนก็ตามแต่จำเลยและห้างหุ้นส่วนจำกัดทั้งสองก็มีที่ดินอยู่มากแปลงซึ่งเมื่อรวมมูลค่ากันแล้ว ส่วนที่เกินจากการถูกบังคับจำนองก็น่าจะมีมูลค่าเหลืออยู่เป็นเงินจำนวนสูง นอกจากนี้จำเลยทั้งสองยังมีบ้านอยู่เมื่อประมาณราคาบ้านกับทรัพย์สินภายในบ้านมีราคา 3,000,000 ถึง 4,000,000 บาทกับทรัพย์สินในห้างหุ้นส่วนจำกัดอีกสองห้าง ซึ่งนอกจากที่ดินแล้วยังมีเครื่องจักรซึ่งมีราคาอยู่โดยจำเลยแสดงใบเสร็จรับเงินเครื่องจักรเป็นหลักฐาน ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.11 ถึง ล.37 กับนำสืบว่ายังมีเครื่องจักรที่ไม่มีใบเสร็จมีมูลค่าอีกประมาณ 3,000,000 ถึง4,000,000 บาท สำหรับที่ดินของห้างหุ้นส่วนจำกัดทั้งสองและเครื่องจักรนี้แม้ว่าจะเป็นทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลยทั้งสองก็ตาม แต่มีเพียงจำเลยทั้งสองเท่านั้นเป็นหุ้นส่วนอยู่ทั้งสองห้าง เท่ากับเป็นทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นทุนในการประกอบธุรกิจของจำเลยทั้งสองอยู่อันจะเป็นรายได้ให้จำเลยทั้งสองนำมาชำระหนี้ได้ ดังที่จำเลยแสดงหลักฐานว่ามีลูกค้าในต่างประเทศสั่งสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปเข้ามาเป็นเงินถึง13,000,000 บาท ปรากฏตามเลตเตอร์ออฟเครดิตเอกสารหมาย ล.7 ถึงล.10 ไม่มีพิรุธสงสัยในเอกสารดังกล่าว แสดงว่าจำเลยทั้งสองยังประกอบธุรกิจและมีรายได้สูงพอที่จะนำมาชำระหนี้ได้อีกส่วนหนึ่งอีกประการหนึ่ง โจทก์ก็ยังหาได้บังคับคดีแก่บริษัทชัยพัฒน์ภัณฑ์จำกัด ซึ่งจำเลยทั้งสองค้ำประกันอยู่ไม่ จำเลยทั้งสองนำสืบว่าบริษัทดังกล่าวยังประกอบธุรกิจอยู่ หากบังคับคดีก็อาจได้รับชำระหนี้ได้อีกส่วนหนึ่งด้วย ส่วนโจทก์คงนำสืบพยานบุคคลได้ความเพียงว่าตรวจสอบตามภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองแล้ว ปรากฏว่าบ้านปิด ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองจะมีอะไรบ้าง มูลค่าเท่าใดโจทก์ไม่ทราบ และจำเลยที่ 1ยังเป็นหนี้โจทก์ในคดีอื่นอีก ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 201/2530ของศาลชั้นต้น เอกสารหมาย จ.31 ซึ่งได้ความว่าหนี้รายนี้ยังมีที่ดินจำนองเป็นประกันอยู่ และยังมิได้บังคับจำนอง จึงยังไม่อาจทราบได้ว่าหนี้ในส่วนนี้เมื่อบังคับจำนองแล้วพอชำระหนี้หรือไม่พยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจฟังหักล้างพยานหลักฐานของจำเลยได้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองยังมีทรัพย์สินอยู่มากและยังประกอบอาชีพมีรายได้ซึ่งอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด จึงไม่ควรให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share