คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3099/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามข้อบังคับของสหภาพแรงงานฯ โจทก์มิได้มีข้อกำหนดให้คณะกรรมการสหภาพฯ ทำหน้าที่รักษาการต่อไปภายหลังสิ้นสุดวาระการดำรง ตำแหน่งลง คณะกรรมการสหภาพฯ จึงต้องสิ้นสุดสภาพการเป็นกรรมการนับแต่วันครบวาระการดำรง ตำแหน่งเป็นต้นไป และไม่มีอำนาจลงมติปลดสมาชิกภาพของผู้แทนสมาชิกใด ๆ อีก ประกอบกับข้อบังคับของสหภาพฯ กำหนดว่าการประชุมใหญ่คือการประชุมซึ่งผู้แทนสมาชิกทุกคนตามทะเบียนมีสิทธิเข้าประชุมได้ ฉะนั้นการที่คณะกรรมการซึ่งสิ้นสุดวาระการดำรง ตำแหน่งดังกล่าว ได้ลงมติปลดสมาชิกภาพของผู้แทนสมาชิก 15 คน และจัดประชุมใหญ่ โดยไม่ยอมให้ผู้แทนที่ถูกปลดเหล่านี้เข้าประชุมด้วย จึงเป็นการไม่ชอบด้วยข้อบังคับของสหภาพฯ การเลือกตั้งคณะกรรมการสหภาพฯ ในวันดังกล่าวต้องเสียไปไม่มีผลใช้บังคับ และคณะกรรมการสหภาพฯ ชุด ที่ได้รับเลือกในวันดังกล่าวซึ่งมี ส. ได้รับเลือกตั้งด้วยนั้น จึงมิได้มีฐานะเป็นกรรมการสหภาพฯ ดังนี้ การที่คณะกรรมการชุด นี้ได้ลงมติให้ ส. เป็นผู้แทนโจทก์ฟ้องคดีนี้จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอำนาจ ไม่มีผลทำให้สหภาพฯ โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 ที่รับจดทะเบียนให้กับคณะกรรมการสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาคชุดที่มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 27 เป็นกรรมการซึ่งรับจดทะเบียนเมื่อวันที่27 กุมภาพันธ์ 2532 โดยให้ถือว่าการประชุมใหญ่เลือกตั้งเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2531 เป็นการประชุมที่ไม่ชอบแล้วขัดต่อข้อบังคับสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาคและให้จำเลยที่ 1 รับจดทะเบียนให้แก่คณะกรรมการสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาคที่ได้จัดประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 2-3 กรกฏาคม 2531 โดยมีนายสายัณห์นพคุณ เป็นประธาน ทั้งนี้ให้จำเลยที่ 1 รับจดทะเบียนดังกล่าวให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา และให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันและแทนกันชดใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 2-3 กรกฎาคม 2531 ที่โรงแรมโกลเดนดรากอน เป็นจำนวนเงิน75,695 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 กรกฏาคม 2531 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ที่ 9 ถึงที่ 16 ที่ 18 ที่ 19 และที่ 21ถึงที่ 27 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง นายสายัณห์ นพคุณ มิได้เป็นประธานสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาค และนายสายัณห์ นพคุณได้พ้นจากการเป็นกรรมการสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาคตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2529 ปัจจุบันจำเลยที่ 2 เป็นประธานสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาค โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมใหญ่สามัญเมื่อวันที่ 2-3 กรกฏาคม 2531 ที่โรงแรมโกลเดนดรากอนเป็นเงิน 75,695 บาท พร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 27เนื่องจากโจทก์จัดประชุมใหญ่กันเอง จำเลยไม่ได้มีส่วนเกียวข้องหรือเป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้นแต่อย่างใดทั้งโจทก์ก็มิได้จ่ายไปจริงและค่าใช้จ่ายดังกล่าวก็ไม่ใช่คดีเกี่ยวกับแรงงาน แต่เป็นข้อพิพาททางแพ่ง จึงไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลนี้ที่จะพิจารณา ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 8 ที่ 17 และที่ 20 ขาดนัดและขาดนัดพิจารณา
ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนของจำเลยที่ 1ที่รับจดทะเบียนให้กับกรรมการสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาคที่มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 27 เป็นกรรมการ ซึ่งรับจดทะเบียนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2532 ส่วนคำขออื่นของโจทก์ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ที่ 9 ถึงที่ 16 ที่ 18 ที่ 19ที่ 21 ถึงที่ 27 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่า คณะกรรมการสหภาพฯ ชุดเดิมครบวาระวันที่ 10 ตุลาคม 2529 และคณะกรรมการสหภาพฯ ชุดเดิมได้ประชุมเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2531 มีมติให้ปลดสมาชิกสหภาพฯ จำนวน 15 คนซึ่งเป็นผู้แทนสมาชิกออกจากตำแหน่งฐานฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของสหภาพฯ และคณะกรรมการสหภาพฯ ชุดเดิมได้จัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการสหภาพฯ ชุดใหม่ในวันที่2-3 กรกฏาคม 2531 ซึ่งที่ประชุมได้เลือกตั้งคณะกรรมการสหภาพฯชุดใหม่จำนวน 53 คน โดยมีนายสายัณห์ นพคุณ เป็นประธานสหภาพฯในการประชุมใหญ่นี้ คณะกรรมการสหภาพฯ ชุดเดิมไม่ยอมให้ผู้แทนสมาชิกจำนวน 15 คน ที่ถูกคณะกรรมการสหภาพฯ ชุดเดิมมีมติให้ปลดออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2531 เข้าร่วมประชุมใหญ่ด้วย
โจทก์อุทธรณ์สรุปได้ว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาว่า คณะกรรมการสหภาพฯ ชุดเดิมไม่ยอมให้ผู้แทนสมาชิกจำนวน15 คน ที่ถูกปลดออกจากสมาชิกสหภาพฯ เข้าร่วมประชุมใหญ่ด้วยนั้นข้อนี้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้อย่างชัดแจ้งว่า คณะกรรมการสหภาพฯ ชุดที่ได้รับเลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 2-3กรกฏาคม 2531 ไม่ชอบ เพราะเหตุที่คณะกรรมการสหภาพฯ ชุดเดิมที่จัดให้มีการประชุมใหญ่ไม่ยอมให้ผู้แทนสมาชิกจำนวน 15 คนดังกล่าวเข้าร่วมประชุมใหญ่ด้วย ซึ่งคดีนี้ศาลได้กำหนดให้โจทก์เป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อน เมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องนำสืบถึงประเด็นข้อนี้ การที่ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อโจทก์มิได้นำสืบหักล้าง จึงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบ โจทก์เห็นว่าเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกคำให้การและนอกประเด็นที่กำหนดไว้ จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบและขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำให้การของจำเลยที่ 1ให้การว่า “การเลือกตั้งที่โจทก์อ้างว่าได้รับการเลือกตั้งนั้นมิได้จัดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะขณะมีการเลือกตั้งคณะกรรมการชุดเดิมได้พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2529และมีการเลือกตั้งคณะกรรมการสหภาพฯ แทนชุดเดิมเมื่อวันที่ 18มิถุนายน 2531 แล้ว ฉะนั้นจำเลยที่ 1 จึงไม่จดทะเบียนรับรองการเป็นคณะกรรมการชุดของนายสายัณห์ นพคุณ เพราะโจทก์ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการซ้ำซ้อนกัน…” จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลภายนอกไม่มีโอกาสได้รู้เห็นการดำเนินการของที่ประชุมใหญ่ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 1 ให้การว่า การเลือกตั้งมิได้จัดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเท่ากับว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้การไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่าคณะกรรมการสหภาพฯ ชุดที่ได้รับเลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 2-3 กรกฏาคม 2531 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลแรงงานกลางที่จัดประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 2-3 กรกฏาคม 2531 โดยมีนายสายัณห์นพคุณ เป็นประธานหรือไม่” ซึ่งมีความหมายครอบคลุมถึงการประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 2-3 กรกฏาคม 2531 ว่า ดำเนินการโดยถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับและกฎหมายหรือไม่ หากถูกต้องจำเลยที่ 1 ต้องรับจดทะเบียนให้หากไม่ถูกต้องจำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องรับจดทะเบียนให้ ฉะนั้นโจทก์จะต้องนำสืบถึงการประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 2-3 กรกฏาคม 2531 ว่าถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับและกฎหมายทุกประการ เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบถึงประเด็นข้อนี้ และจำเลยเป็นฝ่ายนำสืบว่าการประชุมใหญ่ฝ่าฝืนข้อบังคับสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาค ข้อ 32 เนื่องจากคณะกรรมการสหภาพฯ ชุดเดิมที่จัดให้มีการประชุมใหญ่เมื่อวันที่2-3 กรกฏาคม 2531 ไม่ยอมให้ผู้แทนสมาชิกจำนวน 15 คน ดังกล่าวเข้าร่วมประชุมใหญ่ด้วยและศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงตามนั้นศาลแรงงานกลางจึงมิได้รับฟังข้อเท็จจริงนอกคำให้การหรือนอกประเด็นแต่อย่างใด อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์ที่โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า โจทก์ตั้งฟ้องมาในนามของสหภาพฯแต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นเรื่องคณะบุคคลที่ได้รับเลือกตั้งครั้งแรก กับครั้งหลังโต้แย้งสิทธิกัน มิใช่สหภาพฯ โต้แย้งสิทธิกับคณะบุคคลนั้น โจทก์จึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิ จึงไม่มีอำนาจฟ้องส่วนจำเลยยื่นอุทธรณ์สรุปได้ว่าคณะกรรมการชุดเดิมพ้นวาระไปแล้วตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2529 และ ตามข้อบังคับก็ไม่ได้กำหนดให้รักษาการต่อไป จึงไม่มีสิทธิใช้ซึ่งสหภาพฯ ซึ่งเป็นนิติบุคคลฟ้องคดี โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคณะกรรมการสหภาพฯ ชุดเดิมครบวาระเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2529และตามข้อบังคับของสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาคก็มิได้มีข้อระบุให้คณะกรรมการสหภาพฯ ชุดเดิมที่ครบวาระรักษาการต่อไปคณะกรรมการสหภาพฯ ชุดเดิมจึงสิ้นสุดสภาพการเป็นกรรมการของสหภาพฯ ตั้งแต่วันครบวาระคือวันที่ 10 ตุลาคม 2529 ไม่มีสิทธิที่จะลงมติปลดสมาชิกภาพของผู้แทนสมาชิกจำนวน 15 คน ดังกล่าวในวันที่ 17 มิถุนายน 2531 ผู้แทนสมาชิกจำนวน 15 คนดังกล่าวจึงยังเป็นผู้แทนสมาชิกอยู่ตามเดิม และในวันประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 2-3กรกฏาคม 2531 คณะกรรมการสหภาพฯ ชุดเดิมที่จัดให้มีการประชุมใหญ่ไม่ยอมให้ผู้แทนสมาชิกจำนวน 15 คนดังกล่าวนี้เข้าร่วมประชุมใหญ่ด้วย จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาคข้อ 32 ซึ่งระบุว่า “การประชุมใหญ่ คือ การประชุม ซึ่งผู้แทนสมาชิกทุกคนตามทะเบียนผู้แทนมีสิทธิเข้าร่วมประชุมได้”การประชุมใหญ่ เมื่อวันที่ 2-3 กรกฏาคม 2531 จึงไม่ชอบด้วยข้อบังคับของสหภาพฯ การเลือกตั้งคณะกรรมการสหภาพฯ ในวันดังกล่าวจึงต้องเสียไป ไม่มีผลใช้บังคับ คณะกรรมการสหภาพฯ ชุดที่ได้รับเลือกตั้งในวันดังกล่าวซึ่งมีนายสายัณห์ นพคุณ ได้รับเลือกตั้งด้วยนั้น จึงมิได้มีฐานะเป็นกรรมการของสหภาพฯ ฉะนั้นการที่คณะกรรมการชุดนี้ประชุมลงมติให้นายสายัณห์ นพคุณ เป็นผู้แทนโจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอำนาจ ไม่มีผลทำให้สภาพฯ โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดี จึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยที่ว่าคณะกรรมการสหภาพฯ ชุดที่มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 27 เป็นกรรมการซึ่งเลือกตั้งโดยที่ประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 18-19 มิถุนายน2531 นั้น จะชอบด้วยกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของสหภาพฯหรือไม่ต่อไป…”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share