คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3050/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อความที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาคดีอาญาเรื่องความผิดอันเกี่ยวกับการใช้เช็คว่า จำเลยทั้งสองจะนำเงินมาชำระให้โจทก์ 30,000 บาทในวันที่ 15 เดือนหน้าซึ่งโจทก์ยอมตามนี้เป็นเพียงความตกลงในการที่จำเลยทั้งสองจะนำเงินตามเช็คมาชำระให้โจทก์ในภายหลัง มิได้มีข้อตกลงที่โจทก์ยอมผ่อนผันให้แก่จำเลยทั้งสองเพื่อระงับข้อพิพาท จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแต่ข้อตกลงดังกล่าวนั้นจำเลยทั้งสองยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คจำนวน 30,000 บาท จึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ ดังนี้ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินตามข้อตกลงและค่าเสียหายจำนวน 33,272 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การรับว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันออกเช็คพิพาทให้โจทก์จริง โจทก์ฟ้องคดีแพ่งเรียกเงินตามเช็คพิพาทเมื่อพ้นกำหนด 1ปี นับแต่วันออกเช็ค คดีโจทก์ขาดอายุความ แม้จำเลยทั้งสองจะได้ยอมรับในรายงานกระบวนพิจารณาคดีอาญาว่า จำเลยทั้งสองจะนำเงินมาชำระให้โจทก์ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2528 ก็ตามแต่รายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวหาได้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือสัญญารับสภาพหนี้ไม่ การยอมรับของจำเลยทั้งสองจึงไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเมื่อคดีโจทก์ขาดอายุความ จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว สั่งงดสืบพยาน พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ส่วนค่าติดตามทวงถามในฟ้องไม่ปรากฏว่าติดตามอย่างไร เสียค่าอะไรบ้าง จึงไม่กำหนดให้
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ได้ความว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาฐานร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการจ่ายเงินตามเช็คก่อนไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 27มิถุนายน 2528 ว่า “…คู่ความตกลงกันว่าในวันที่ 15 เดือนหน้า เวลา08.30 นาฬิกา จำเลยทั้งสองจะนำเงินตามจำนวนในเช็คคือ 30,000 บาทมาชำระให้โจทก์โดยครบถ้วน ซึ่งโจทก์ยอมตามนี้…”ถึงวันนัด จำเลยทั้งสองมิได้ชำระเงินให้โจทก์ตามที่ตกลงกัน
พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายว่า รายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 27 มิถุนายน 2528 ที่บันทึกไว้ว่าจำเลยทั้งสองจะนำเงินมาชำระให้โจทก์ 30,000 บาท ในวันที่ 15 เดือนหน้าซึ่งโจทก์ยอมตามนี้ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ คดีไม่ขาดอายุความศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทซึ่งเมือง หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน แต่ข้อความที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ดังกล่าวเป็นเพียงความตกลงในการที่จำเลยทั้งสองจะนำเงินตามเช็คมาชำระให้โจทก์ในภายหลัง มิได้มีข้อตกลงที่โจทก์ยอมผ่อนผันให้แก่จำเลยทั้งสองเพื่อระงับข้อพิพาท จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่ข้อตกลงดังกล่าวนั้นจำเลยทั้งสองยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คจำนวน30,000 บาท จึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงซึ่งในข้อนี้จำเลยทั้งสองได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยรับสภาพหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงได้เมื่อมีการรับสภาพหนี้อายุความฟ้องผู้สั่งจ่ายเช็คซึ่งมีกำหนด 1 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 ย่อมสะดุดหยุดลงและต้องเริ่มนับใหม่ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสิ้นสุดเป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา172, 181 ในกรณีนี้คือต้องเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่จำเลยทั้งสองรับสภาพหนี้ต่อโจทก์วันที่ 27 มิถุนายน 2528 โจทก์นำคดีมาฟ้องในวันที่ 8 เมษายน 2529 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ…”
พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 30,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย.

Share