คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3793/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 70-0608 นครปฐม โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว เมื่อวันที่ 19 มกราคม2528 จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 70-0608 นครปฐมไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1 จ -7807 กรุงเทพมหานครซึ่งโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยได้รับความเสียหาย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ชำระค่าซ่อมรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1 จ -7807กรุงเทพมหานคร ไปแล้ว เป็นเงิน 13,678 บาท โจทก์จึงเข้ารับช่วงสิทธิมาเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวจาก จำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิดจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 70-0608นครปฐม ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ เช่นนี้ฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดแล้วว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 70-0608นครปฐม ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 3 จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน1 จ – 7807 กรุงเทพมหานคร จากบริษัทยูนิฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัดเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2528 จำเลยที่ 1 ลูกจ้างจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 70 – 0608 นครปฐม ของจำเลยที่ 2 ซึ่งเอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 ในทางการที่จ้าง ด้วยความประมาทเฉี่ยวชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยดังกล่าวได้รับความเสียหายเป็นเงิน 13,678 บาทโจทก์ได้ชำระเงินไปแล้ว จึงรับช่วงสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันชดใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 14,361 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 13,678 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 มิได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 70 – 0608 นครปฐม จำเลยที่ 1 มิได้ประมาท และมิได้ขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ค่าเสียหายไม่เกิน 2,000 บาทโจทก์ยังมิได้ชำระเงินไป จึงยังไม่ได้รับช่วงสิทธิขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1 จ – 7807 กรุงเทพมหานคร บริษัทยูนิฟูดส์(ประเทศไทย) จำกัด ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองและไม่มีส่วนได้เสียในการเอาประกันภัย จำเลยที่ 1 ไม่ผิด ผู้ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเรื่องค่าเสียหายกับจำเลยที่ 1 แล้ว มูลละเมิดระงับแล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะจำเลยที่ 3 ไม่เข้าใจฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยที่ 3จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะอะไร
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวน 4,178 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 มกราคม 2528 จนกว่าจะเสร็จสิ้น กับให้ชำระเงินจำนวน9,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสามชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 400 บาท
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์600 บาทแทนโจทก์
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน70 – 0608 นครปฐม โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2528 จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 70 – 0608 นครปฐม ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1 จ – 7807 กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยได้รับความเสียหาย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ชำระค่าซ่อมรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1 จ – 7807 กรุงเทพมหานครไปแล้ว เป็นเงิน 13,678 บาท โจทก์จึงเข้ารับช่วงสิทธิมาเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิด จำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 70 – 0608 นครปฐม ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ เช่นนี้ฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดแล้วว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 70 – 0608 นครปฐม ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 3 จึงไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share