คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3014/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 มาใช้บังคับโดยอนุโลมนั้น ต้องนำมาใช้เท่าที่ไม่ขัดกับกฎหมายล้มละลาย กล่าวคือคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดย่อมถูกเพิกถอนไปและต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เฉพาะในส่วนที่ผิดพลาดและถูกเพิกถอนเท่านั้น กระบวนพิจารณาในส่วนนี้ย่อมนำ ป.วิ.พ. มาใช้ได้ส่วนกระบวนพิจารณาที่กระทำโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือเริ่มต้นที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว เป็นต้นว่ากรณีคำขอรับชำระหนี้ กรณีการรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สินโดยการมีหนังสือแจ้งความไปยังบุคคลที่เป็นหนี้ลูกหนี้ผู้ล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119และกรณีอื่น ๆ อีกซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ กระบวนพิจารณาเหล่านี้ย่อมดำเนินต่อไปได้ตามวิธีพิจารณาคดีล้มละลายในเรื่องนั้น ๆโดยไม่ต้องไปเริ่มต้นกระบวนพิจารณาเหล่านั้นใหม่ในกรณีที่คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเปลี่ยนแปลงไปโดยผลของคำพิพากษาศาลสูงเว้นแต่กรณีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดสิ้นผลโดยคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลสูง กรณีคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องที่ยื่นไว้แต่เดิม ไม่มีส่วนใดที่ผิดกฎหมายจึงไม่ถูกเพิกถอนไปด้วยและยังคงใช้ได้อยู่ แม้ศาลอุทธรณ์จะยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ก็ตาม เมื่อศาลชั้นต้นยังคงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเช่นเดิมผู้ร้องไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่ ทั้งกำหนดระยะเวลาสำหรับการยื่นคำขอรับชำระหนี้ เป็นกำหนดระยะเวลาให้กระทำก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้สิ้นสุดลง แต่ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งแรกแล้ว แม้จะเป็นการยื่นก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งที่สองก็ถือว่าได้ยื่นไว้แล้วก่อนระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งที่สองสิ้นสุดลง

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสี่เด็ดขาด เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2526 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและให้เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่8 กันยายน 2526 แต่ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 3 ได้อุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ขอให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและพิจารณาคดีใหม่ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่เฉพาะลูกหนี้ที่ 3 ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่แล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ 3 เด็ดขาดเมื่อวันที่ 29 มกราคม2528 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งที่สองเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2528 โดยผู้ร้องมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งที่สองนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้พิจารณาคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องซึ่งยื่นไว้ตั้งแต่โฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งแรกและมีคำสั่งว่า คำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องเฉพาะจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 3 สิ้นผลไปแล้ว ผู้ร้องเห็นว่า คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ชอบ เพราะกรณีของผู้ร้องมีมูลหนี้มาก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งแรก ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ถูกต้องแล้ว จึงไม่จำต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่อีก ขอให้ยกคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และมีคำสั่งว่า คำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องที่ขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 3 ยังคงมีผลอยู่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งยกคำขอรับชำระหนี้ วันที่ 18 มิถุนายน 2528 และไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทราบคำสั่งวันใด มายื่นคำร้องวันนี้พ้นกำหนด ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ 3 ไว้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม2526 ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 3โดยชอบเป็นเงิน 1,099,525 บาท แต่เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นเฉพาะลูกหนี้ที่ 3 ให้ศาลชั้นต้นรับบัญชีระบุพยานของลูกหนี้ที่ 3 และสืบพยานลูกหนี้ที่ 3 จนสิ้นกระแสความแล้วมีคำสั่งใหม่ศาลชั้นต้นพิจารณาเฉพาะลูกหนี้ที่ 3 แล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ 3 ไว้เด็ดขาด ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มีนาคม2528 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ 3 ไว้เด็ดขาดแล้ว แต่ผู้ร้องไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 91 คำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องซึ่งยื่นไว้ ตั้งแต่คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งแรกจึงสิ้นผล ผู้ร้องจึงไม่สามารถขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 3 ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โดยให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องต่อไป
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว และให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นครั้งที่สอง คำขอรับชำระหนี้ที่ผู้ร้องยื่นไว้ตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งแรก จะยังคงมีผลใช้ได้อยู่โดยผู้ร้องไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งที่สองหรือไม่ เห็นว่า ที่ผู้คัดค้านอ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209มาใช้ในคดีล้มละลาย ก็โดยอาศัยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153 ซึ่งให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม ฉะนั้น จึงนำมาใช้ได้เท่าที่ไม่ขัดกับกฎหมายล้มละลาย กล่าวคือ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดย่อมถูกเพิกถอนไป และต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เฉพาะในส่วนที่ผิดพลาดและถูกเพิกถอนเท่านั้นกระบวนพิจารณาในส่วนนี้ย่อมนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้ได้แต่ในคดีล้มละลายยังมีกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายโดยเฉพาะซึ่งมีความแตกต่างไปจากคดีแพ่งทั่วไปตามที่พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 6 กำหนดไว้ว่ากระบวนพิจารณาคดีล้มละลายหมายความว่ากระบวนพิจารณาซึ่งบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ไม่ว่าจะกระทำต่อศาลหรือต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตั้งแต่เริ่มคดีจนถึงคดีสิ้นสุดฉะนั้น กระบวนพิจารณาในคดีล้มละลายจึงอาจกระทำโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หรือเริ่มต้นที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ได้หลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ซึ่งกรณีดังกล่าวมีอยู่หลายเรื่องเป็นต้นว่ากรณีคำขอรับชำระหนี้เช่นคดีนี้หรือกรณีการรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สิน โดยการมีหนังสือแจ้งความไปยังบุคคลที่เป็นหนี้ลูกหนี้ผู้ล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119และกรณีอื่น ๆ อีกซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ กระบวนพิจารณาเหล่านี้ย่อมดำเนินต่อไปได้ตามวิธีพิจารณาคดีล้มละลายในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องไปเริ่มต้นกระบวนพิจารณาเหล่านั้นใหม่ในกรณีที่คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเปลี่ยนแปลงไปโดยผลของคำพิพากษาศาลสูงเว้นแต่กรณี คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดสิ้นผลโดยคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลสูง กรณีคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง ไม่มีส่วนใดที่ผิดกฎหมาย จึงไม่ถูกเพิกถอนไปด้วยและยังคงใช้ได้อยู่แม้ศาลอุทธรณ์จะยกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลชั้นต้น แล้วศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ซึ่งศาลชั้นต้นยังคงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเช่นเดิม คำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องที่ยื่นไว้แต่เดิมจึงยังคงใช้ได้โดยไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่ อีกประการหนึ่งกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นกำหนดระยะเวลาให้กระทำก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้สิ้นสุดลงเมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว เจ้าหนี้ย่อมยื่นคำขอรับชำระหนี้ไม่ได้ แต่การยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ผู้ร้องได้ยื่นไว้เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งแรกแล้ว แม้จะเป็นการยื่นก่อนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งที่สอง ก็ถือว่าได้ยื่นไว้แล้วก่อนระยะเวลาที่กำหนดให้ ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดครั้งที่สองสิ้นสุดลง ผลของการยื่นคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องจึงยังคงมีอยู่โดยไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ใหม่
พิพากษายืน

Share