คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2430/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำขอให้พิจารณาใหม่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเหตุที่อ้างมาในคำขอเป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีรายละเอียดชัดแจ้ง ถือ ไม่ได้ว่าเป็นข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคสอง แล้ว ประเด็นที่ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและจงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัย คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยมิได้กล่าวโดย ละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อ โจทก์ไม่ชอบอย่างไร หากได้ พิจารณาใหม่แล้วจำเลยจะชนะคดีได้ อย่างไร แต่ กลับไปคัดค้านคำพิพากษาของศาลอื่นซึ่ง พิพากษาให้จำเลยในฐานะ ลูกหนี้โจทก์ในฐานะ ผู้ค้ำประกันจำเลย ร่วมกันชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ว่าจำนวนหนี้คลาดเคลื่อน และว่าโจทก์ด่วนไปชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทั้งที่จำเลยกำลังเจรจาขอลดหนี้ตาม คำพิพากษาดังกล่าวอยู่ และแม้จำเลยจะกล่าวในคำขอด้วย ว่า โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันในลักษณะลูกหนี้ร่วม จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย ในเงินที่ชำระไปแล้วและโจทก์มิได้บอกกล่าวก่อนฟ้อง จะเรียกค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความเอาจากจำเลยไม่ได้ ก็เป็นการกล่าวอ้างที่ไม่มีกฎหมายสนับสนุน ถือ ไม่ได้ว่าเป็นข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล.

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงิน 181,338.03 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ 181,314.07 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามฟ้อง กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เหตุที่จำเลยอ้างมานั้นไม่มีทางชนะคดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาใหม่ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่าที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนโดยให้ยกคำขอพิจารณาใหม่ของจำเลยนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและจงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ เห็นว่า การยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่นั้น คำขอดังกล่าวนี้จะต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่จำเลยได้ขาดนัด และข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าเหตุที่จำเลยอ้างมาในคำขอนั้น เป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีรายละเอียดชัดแจ้ง ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น คำขอให้พิจารณาใหม่จตึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง จึงมีคำพิพากษายืนให้ยกคำขอตามคำสั่งของศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำขอให้พิจารณาใหม่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวข้างต้นแล้วประเด็นที่ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและจงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
ปัญหาต่อไปมีว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลหรือไม่ เห็นว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ไม่ชอบอย่างไร หากได้พิจารณาใหม่แล้วจำเลยจะชนะคดีได้อย่างไร แต่กลับไปคัดค้านคำพิพากษาของศาลจังหวัดนครพนมซึ่งพิพากษาให้จำเลยในฐานะลูกหนี้ โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลย ร่วมกันชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ว่าจำนวนหนี้คลาดเคลื่อนและว่าโจทก์ด่วนไปชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทั้งที่จำเลยกำลังเจรจาขอลดหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวอยู่และแม้จำเลยจะกล่าวในคำขอด้วยว่า โจกท์เป็นผุ้ค้ำประกันในลักษณะลูกหนี้ร่วม จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้นในเงินที่ชำระไปแล้ว และโจทก์มิได้บอกกล่าวก่อนฟ้อง จะเรียกค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความเอาจากจำเลยไม่ได้ก็เป็นการกล่าวอ้างที่ไม่มีกฎหมายสนับสนุนเช่นนั้น จำเลยไม่มีทางชนะคดี ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share