คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2337/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ นายสิงห์พวกของจำเลยเข้าไปหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่ขณะอยู่ในร้านค้าของนายสว่างในคราวเดียวกัน เป็นกรณีที่จำเลยร่วมกับพวกหลอกลวงผู้เสียหายคราวเดียวกัน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกระทงเดียว โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกง มีใจความว่าจำเลยกับพวกทำอุบายร่วมกันจัดตั้งสำนักจัดหางานขึ้น ชื่อบริษัทเขลวงค์หรือเขลางค์ จำกัด ดำเนินธุรกิจติดต่อ และจัดหางานเพื่อส่งไปทำงานต่างประเทศโดยเฉพาะ ความจริงแล้วจำเลยกับพวกมิได้จัดตั้งบริษัทดังกล่าวขึ้น และไม่เคยติดต่องานในต่างประเทศเพื่อจัดส่งคนงานไปทำงานแต่อย่างใด จำเลยกับพวกเพียงกล่าวอ้างขึ้นหลอกประชาชนเท่านั้น เช่นนี้คำฟ้องของโจทก์ได้ความโดยชัดแจ้งว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งสี่ จำเลยกับพวกกล่าวอ้างการจัดตั้งบริษัทจัดหางานขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่โดยหวังจะได้ค่าบริการจากผู้เสียหายทั้งสี่เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาต ตามพ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 341,343 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา30, 82 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่3241/2529 ของศาลชั้นต้น และให้จำเลยร่วมคืนหรือใช้เงินจำนวน120,000 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสี่
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อและกำลังรับโทษตามคำพิพากษาอยู่จริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 83, 91 รวม 4 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุก2 ปี และมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2528 มาตรา 80, 82 จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 5 ปี นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3241/2529 ของศาลชั้นต้นและให้จำเลยร่วมคืนหรือชดใช้เงินจำนวน 120,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหายคำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 กระทงเดียว จำคุก 6 เดือนความผิดข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343และการกระทำของจำเลยเป็นความผิด 4 กระทงกับขอให้ลงโทษในฐานความผิดต่อพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ดังที่โจทก์ฟ้องนั้นเห็นว่า ฐานความผิดดังกล่าวศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 มาตรา 13ห้ามมิให้คู่ความฎีกาแม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยสำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 4 กระทง หาใช่เป็นความผิดกระทงเดียวดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่นั้น ปรากฏว่าความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยรวม4 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษกระทงเดียว จำคุก 6 เดือนจึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเล็กน้อย ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218วรรคแรก โจทก์คงฎีกาได้แต่ในปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222บัญญัติว่าศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ในปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า นายสิงห์พวกของจำเลยเข้าไปหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่ขณะอยู่ในร้านค้าของนายสว่างในคราวเดียวกัน เป็นกรณีที่จำเลยร่วมกับพวกหลอกลวงผู้เสียหายในคราวเดียวกันดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกระทงเดียวส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่าความผิดต่อพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน โจทก์บรรยายฟ้องไว้ครบถ้วนความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30แล้ว และข้อเท็จจริงก็รับฟังได้ยุติว่า จำเลยร่วมหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่ซึ่งเป็นคนหางานว่าจะจัดหางานให้ผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศ โดยจำเลยกับพวกมิได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนตามกฎหมาย เห็นว่าการที่จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนงาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30 วรรคแรก นั้นผู้กระทำต้องมีเจตนาที่จะจัดหางานให้คนงานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ แต่ผู้กระทำไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง กรณีของคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในฐานความผิดฉ้อโกงมีใจความว่าจำเลยกับพวกทำอุบายร่วมกันจัดตั้งสำนักจัดหางานขึ้นชื่อบริษัทเขลวงศ์ หรือเขลางค์ จำกัด ดำเนินธุรกิจติดต่อและจัดหางานเพื่อส่งไปทำงานต่างประเทศโดยเฉพาะ ความจริงแล้วจำเลยกับพวกมิได้จัดตั้งบริษัทดังกล่าวขึ้น และไม่เคยติดต่องานในต่างประเทศเพื่อจัดส่งคนงานไปทำงานแต่อย่างใด จำเลยกับพวกเพียงกล่าวอ้างขึ้นหลอกลวงประชาชนเท่านั้น เช่นนี้คำฟ้องของโจทก์ได้ความโดยแจ้งชัดว่า จำเลยมิได้มีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งสี่ จำเลยกับพวกกล่างอ้างการจัดตั้งบริษัทจัดหางานขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่ โดยหวังจะได้ค่าบริการจากผู้เสียหายทั้งสี่เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528…”
พิพากษายืน.

Share