คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2065/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยได้ ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาท ซึ่ง มี น.ส.3 ก. กับโจทก์มีกำหนด 1 ปี เมื่อครบกำหนดตาม สัญญาขายฝากแล้ว จำเลยยังคงครอบครองที่พิพาทตลอดมา โจทก์บอกให้จำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากโจทก์ แต่ จำเลยไม่ทำ ต่อมาจำเลยได้ ไปร้องเรียนขอความเป็นธรรม ต่อ ทางราชการเกี่ยวกับเรื่องขายฝาก ดังนี้ ถือ ได้ ว่าจำเลยได้ แย่ง สิทธิครอบครองของโจทก์และได้ บอกกล่าวการเปลี่ยนลักษณะแห่งการ ยึดถือครอบครองที่พิพาทเป็นของตน ต่อ โจทก์แล้ว การที่โจทก์นำคดี มาฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันสัญญาขายฝากครบกำหนด ซึ่ง เป็นวันที่โจทก์ถูก แย่งการครอบครองโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2527 จำเลยได้ทำสัญญาขายฝากที่ดิน น.ส.3ก. เลขที่ 1414 ไว้กับโจทก์ เป็นเงิน20,000 บาท มีกำหนดเวลา 1 ปี เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่นำเงินมาไถ่ถอน แต่ขอขยายเวลาไปอีกเป็นเวลา 1 ปี โจทก์ยินยอมโดยไม่คิดค่าเช่า เมื่อครบกำหนดเวลาตามที่ขอขยาย จำเลยไม่นำเงินมาไถ่ถอนโจทก์ทวงถาม จำเลยขอผัด โจทก์ไม่ยอม ต่อมาเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมโจทก์ได้เข้าไปไถนาในที่ดินดังกล่าว จำเลยขัดขวางและข่มขู่ไม่ให้ทำนา แล้วเข้าไถนาในที่ดินดังกล่าว โจทก์ขอให้จำเลยออกไปจำเลยไม่ยอม การกระทำของจำเลยดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับขับไล่จำเลยและบริวารออกจากไปจากที่ดิน น.ส.3ก.เลขที่ 1414
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาขายฝากที่พิพาทให้แก่โจทก์แต่จำเลยกู้เงินนายอภิวัฒน์ ทัพแสง จำนวน 35,000 บาท แล้วมอบน.ส.3ก. เลขที่ 1414 ให้นายอภิวัฒน์ ไว้เป็นประกัน นายอภิวัฒน์ได้ให้จำเลยเซ็นชื่อรับเงินโดยไม่อ่านให้ฟัง หลังจากนั้นจำเลยได้ผ่อนชำระเงินกู้ให้แก่นายอภิวัฒน์หลายครั้ง รวมเป็นเงิน 45,000 บาทต่อมาเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2528 โจทก์ไปบอกจำเลยว่าเงินจำนวน 45,000 บาท เป็นค่าดอกเบี้ย ถ้าจำเลยจะทำนาต่อไปให้ทำสัญญาเช่าและอ่านสัญญาขายฝากให้ฟัง จำเลยบอกโจทก์ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยไม่ได้ทำสัญญาขายฝากแล้วไม่ยอมทำสัญญาเช่า โจทก์บอกจำเลยว่าจะฟ้องคดี หนังสือสัญญาขายฝากโจทก์กับพวกได้ร่วมกันกรอกข้อความขึ้น โดยจำเลยไม่ยินยอม จึงเป็นโมฆะ และโจทก์ฟ้องคดีหลังจากจำเลยแสดงการยึดถือครอบครองที่พิพาทว่าเป็นของจำเลยเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตาม น.ส.3ก.เลขที่ 1414
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติเพราะไม่มีฝ่ายใดฎีกาว่า เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2527 จำเลยได้ทำสัญญาขายฝากที่ดินตาม น.ส.3ก. เลขที่ 1414 ตำบลขามเรียน อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม กับโจทก์มีกำหนด 1 ปี ปรากฏตามหนังสือสัญญาขายฝากและ น.ส.3ก. เอกสารหมาย จ.1 จ.2 มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่…พิเคราะห์แล้วโจทก์เบิกความว่า เมื่อสัญญาขายฝาก เอกสารหมาย จ.1 ครบกำหนดจำเลยขอทำนาในที่พิพาทอีก 1 ปี แต่เบิกความตอบคำถามค้านว่าเมื่อครบกำหนดตามสัญญาขายฝากโจทก์ให้จำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทจำเลยไม่ทำ คำเบิกความของโจทก์จึงไม่น่าเชื่อ ฟังไม่ได้ว่าเมื่อครบกำหนดตามสัญญาขายฝากแล้ว จำเลยขอทำนาในที่พิพาทต่ออีก 1 ปีและตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่า เมื่อครบกำหนดสัญญาขายฝากแล้วในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2528 โจทก์ก็ได้ไปบอกให้จำเลยไปทำสัญญาเช่าที่พิพาท แต่จำเลยไม่ทำทั้งต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2528จำเลยก็ได้ไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากนายอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยซึ่งต่อมาร้อยตรีถวัลย์ พิทักษ์วงศ์ ปลัดจังหวัดมหาสารคามได้เรียกโจทก์ จำเลยไปไกล่เกลี่ยแต่ไม่อาจตกลงกันได้ ร้อยตรีถวัลย์ได้ทำบันทึกไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1 ล.2 สรุปได้ว่าจำเลยยังคงครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทตลอดมา การที่จำเลยไม่ยอมทำสัญญาเช่าที่พิพาทกับโจทก์ ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2528 อันเป็นวันสัญญาขายฝากครบกำหนด และต่อมาจำเลยยังได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมดังกล่าวกรณีถือได้ว่าจำเลยได้แย่งสิทธิครอบครองของโจทก์และได้บอกกล่าวการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองที่พิพาทเป็นของตนต่อโจทก์แล้ว ดังนั้น การที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาท เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2529 โจทก์จึงฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์ถูกแย่งการครอบครองที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share