คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1287/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุจำเลยมีภริยาอยู่แล้ว และยังไม่ได้เลิกกับภริยาเมื่อพาผู้เสียหายไปร่วมประเวณีโดย ไม่มีเจตนาที่จะอยู่กินเลี้ยงดูผู้เสียหายฉัน สามีภริยาแล้ว ต่อมารู้ตัวว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด จึงให้มารดาและพวกพาไปขอขมาและนำเงินไปชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ร่วมเพื่อมิให้ดำเนิน คดีแก่จำเลยอีกต่อไปดังนั้น แม้จะฟังว่าผู้เสียหายสมัครใจไปกับจำเลย และได้ร่วมประเวณีกับจำเลยก็ตาม การกระทำของจำเลยถือ ได้ ว่าเป็นการพรากผู้เสียหายซึ่ง เป็นผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 310, 318,91, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาบิดาของผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา319 วางโทษจำคุก 9 เดือน ปรับ 9,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 6 เดือน และปรับ 6,000 บาท เห็นว่าจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และได้ทำพิธีขอขมาแก่โจทก์ร่วมและผู้เสียหายโดยมอบเงินให้โจทก์ร่วม 20,000 บาท จึงเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ส่วนคำขออื่นให้ยกเสีย
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องในความผิดที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในข้อหาพรากผู้เยาว์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์กับโจทก์ร่วมและจำเลยนำสืบรับกันฟังยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2528เวลาประมาณ 17 นาฬิกา จำเลยได้รับความยินยอมจากนางละเอียดนามเจริญ มารดาของนางสาวสมจิตร นามเจริญ ผู้เสียหาย ซึ่งมีอายุ16 ปี 10 เดือน ให้พาผู้เสียหายไปรับหญิงสาวเพื่อพาไปเที่ยวงานมหรสพที่วัดทวีพูลรังสรรค์ เมื่อผู้เสียหายนั่งรถไปกับจำเลยแล้วจำเลยกลับพาผู้เสียหายไปพักค้างคืนที่โรงแรมภูเบศ ตำบลปากช่องอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และได้กระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง วันรุ่งขึ้นจำเลยขับรถพาผู้เสียหายไปที่บ้านเพื่ออยู่เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร แล้วพามาพักที่บ้านนายสม พันธ์ประเสริฐ ที่ตำบลชำผักแพว อำเภอแก่งคอยจังหวัดสระบุรี จำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่อีก 1 ครั้ง ต่อมาวันที่ 22 ตุลาคม 2528 นายถวิล ทรัพย์สมบัติกับนายโต ทัศนา ก็รับจำเลยกับผู้เสียหายไปพักบ้านจำเลยที่ตำบลทองหลาง อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก จนถึงตอนเช้าของวันที่25 ตุลาคม 2528 นายถวิลก็พาผู้เสียหายไปส่งที่บ้าน ครั้นตอนเที่ยงของวันเดียวกันจำเลยกับนางทิมมารดา นายถวิล นายย้อยกำนันได้พากันไปทำพิธีขอขมานางละเอียดกับโจทก์ร่วม และได้มอบเงินให้โจทก์ร่วม20,000 บาท วันที่ 31 ตุลาคม 2528 ผู้เสียหายกับโจทก์ร่วมจึงได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลย ปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้มีเพียงว่าจำเลยได้พรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319ดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยพาผู้เสียหายไปจากนางละเอียดมารดาโดยบอกว่าจะพาไปเป็นเพื่อนรับหญิงสาวเพื่อไปเที่ยวงานมหรสพที่วัดทวีพูลรังสรรค์ แต่จำเลยหาได้พาไปเที่ยวงานที่วัดดังกล่าวไม่ กลับขับรถพาผู้เสียหายไปพักและร่วมประเวณีในโรงแรมภูเบศ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นจำเลยได้พาผู้เสียหายไปยังที่ต่าง ๆ และพักค้างคืนที่บ้านเพื่อน แล้วจึงพามาพักที่บ้านจำเลยเป็นแหล่งสุดท้ายก่อนที่จะพาผู้เสียหายกลับไปส่งที่บ้าน แต่ละแห่งที่จำเลยพาผู้เสียหายไปพักจำเลยก็ได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า การร่วมประเวณีผู้เสียหายสมัครใจก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวก็ถือได้ว่าเป็นการพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุยังไม่เกิน18 ปี ไปเสียจากบิดามารดาแล้ว ปัญหาต่อไปคือจำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารหรือไม่ จำเลยนำสืบอ้างว่าได้ตกลงกับผู้เสียหายว่าจะไปอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาในระหว่างที่พานั่งไปในรถ เป็นการนำสืบลอย ๆ ทั้งผู้เสียหายก็เบิกความยืนยันว่าถูกจำเลยขู่บังคับ ระหว่างที่จำเลยพาผู้เสียหายไปพักยังสถานที่ต่าง ๆ นั้นก็ได้ความจากคำของผู้เสียหายว่าจำเลยอ้างเหตุต่าง ๆ หว่านล้อมให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ เช่นพาไปหาเพื่อนเพื่อให้ไปเจรจาขอขมาบิดามารดาของผู้เสียหายบ้าง ให้มารดาของจำเลยไปติดต่อกับมารดาของผู้เสียหายและโจทก์ร่วมแล้วบ้างทั้งนี้ตามพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะร่วมประเวณีกับผู้เสียหายโดยเห็นว่ายังเป็นสาวและเป็นผู้เยาว์ และที่จำเลยเบิกความว่า มีความรักใคร่กับผู้เสียหายมาก่อน จะแต่งงานกับผู้เสียหาย แต่ยายกับตาของผู้เสียหายกีดกันนั้น ก็ไม่ปรากฏเลยว่ายายกับตาของผู้เสียหายเป็นผู้ใด ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่สมเหตุผล พยานของจำเลยแต่ละคนหาได้เบิกความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ จึงน่าเชื่อว่าจำเลยยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวมากกว่า อีกประการหนึ่ง ถ้าหากจำเลยรักผู้เสียหายและตั้งใจได้ผู้เสียหายไปเป็นภริยาจริง ก็น่าจะให้ผู้ใหญ่ฝ่ายจำเลยไปเจรจาสู่ขอจากโจทก์ร่วมก่อนไม่น่าจะพาผู้เสียหายไปร่วมประเวณีกันที่โรงแรมและที่ต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น เพราะปรากฏจากคำเบิกความของมารดาผู้เสียหายว่าจำเลยสนิทสนมและรักใคร่ชอบพอกับพี่ชายของผู้เสียหาย ทั้งโจทก์ร่วมยังเป็นหนี้เงินกู้พี่สาวจำเลยอยู่ถึง50,000 บาทด้วย โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบยืนยันว่า จำเลยมีภริยาและบุตรอยู่ก่อนแล้วและยังอยู่ร่วมกัน แม้จำเลยจะนำสืบหักล้างว่าได้เลิกกันแล้วก็ตาม จำเลยก็ไม่มีหลักฐานมาแสดงให้เห็นชัดทั้งพยานของจำเลยในเรื่องนี้ได้เบิกความขัดกันอีกด้วย โดยจำเลยเองเบิกความว่าได้เลิกกับภริยามาก่อนเกิดเหตุ 4 ปี แต่นายสนิทบิดาของจำเลยซึ่งเป็นพยานให้โจทก์และโจทก์ร่วมกลับเบิกความตอบทนายจำเลยซักค้านว่า จำเลยเลิกร้างกับนางจรูญภริยามา 2 ปีก่อนเกิดเหตุ นายย้อย แสงศิริกุล พยานจำเลยอีกปากหนึ่งก็เบิกความว่าจำเลยเลิกกับภริยาก่อนพิธีขอขมา ประมาณ 6 เดือน จึงรับฟังไม่ได้ พยานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง น่าเชื่อว่าจำเลยหาได้เลิกร้างกับภริยามาก่อนเกิดเหตุไม่ แม้หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยได้นำมารดาและพวกของจำเลยไปขอขมาต่อมารดาของผู้เสียหายและโจทก์ร่วมกับได้มอบเงินให้โจทก์ร่วมจำนวน 20,000 บาทก็ตาม แต่ฝ่ายโจทก์และโจทก์ร่วมได้นำสืบว่า ผู้เสียหายไม่ยอมรับขอขมา เพราะจำเลยมีภริยากับบุตรอยู่แล้ว ส่วนเงินที่จำเลยมอบให้โจทก์ร่วมก็ว่าเป็นการชดใช้ค่าอับอายโดยฝ่ายจำเลยขอไม่ให้เอาความกับจำเลยหาใช่เงินสินสอดในการที่จะแต่งงานกับผู้เสียหายไม่ จำเลยเองก็เบิกความว่าเมื่อทำพิธีขอขมาและมอบเงินให้โจทก์ร่วมแล้วจำเลยได้พักอยู่ที่บ้านผู้เสียหาย 4-5 วัน โจทก์ร่วมก็ยังไม่ยอมถอนแจ้งความ จำเลยจึงกลับไปอยู่กับบิดาของจำเลย คำของจำเลยดังกล่าวนี้เมื่อนำมาพิเคราะห์ประกอบกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวข้างต้นแล้วเห็นได้ชัดว่า ความจริงก่อนเกิดเหตุจำเลยยังไม่ได้เลิกกับภริยา เมื่อพาผู้เสียหายไปร่วมประเวณีโดยไม่มีเจตนาที่จะอยู่กินเลี้ยงดูผู้เสียหายฉันสามีภริยาแล้ว ต่อมารู้ตัวว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด จึงให้มารดาและพวกพาไปขอขมาและนำเงินไปชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ร่วมเพื่อมิให้ดำเนินคดีแก่จำเลยอีกต่อไป ดังนั้น ถึงแม้จะฟังว่าผู้เสียหายสมัครใจไปกับจำเลยและได้ร่วมประเวณีกับจำเลยก็ตาม การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก…แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 และวางโทษจำคุกจำเลยเพียง 9 เดือน ก่อนลดโทษและรอการลงโทษให้จำเลยนั้นเป็นการกำหนดโทษต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของกฎหมาย จึงไม่ถูกต้อง แต่เมื่อโจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่อาจกำหนดโทษจำเลยที่ 1 ให้สูงขึ้นอีกได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา319 วรรคแรก ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share