คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 26/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องเข้าอยู่ในที่ดินพิพาทโดย อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินแม้ครอบครองเป็นเวลาเกิน 10 ปี ก็หาได้ กรรมสิทธิ์โดย การครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ไม่ การได้ รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดย ไม่ ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินคดีในศาลนั้น เป็นคนละเรื่องกับความรับผิดของคู่ความฝ่ายแพ้คดีที่จะต้อง ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทน คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง แม้ผู้ร้องจะได้ รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา แต่ เมื่อผู้ร้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ศาลก็ชอบที่จะพิพากษา ให้ผู้ร้องใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้านได้.

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินตามโฉนดที่869 และ 870 ตำบลมุกดาหาร อำเภอมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 และขอให้ศาลมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดิน ให้แก้ทะเบียนผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงนี้ โดยเอาชื่อผู้ร้องใส่ในโฉนดแทนต่อไป
ผู้คัดค้านที่ 1 คัดค้านว่า ผู้ร้องขออาศัยปลูกสร้างโรงเรือนอยู่ในที่พิพาทชั่วคราว ไม่มีอำนาจร้องขอคดีนี้ ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ 2 คัดค้านว่า ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ครอบครองที่ดินโดยสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของ เกินกว่า 10 ปี จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ดินเฉพาะส่วนในโฉนดที่ 869 ตำบลมุกดาหาร อำเภอมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ภายในเขตรั้วบ้านของผู้ร้องซึ่งมีเขตทิศใต้จดแนวเขตที่ดิน โฉนดที่ 869 ทิศเหนือยาว 30 เมตร ทิศตะวันออกยาว 30 เมตร ทิศตะวันตกยาว 55 เมตรตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 คำขอส่วนอื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนผู้คัดค้านทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความรวม 8,000 บาท
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องข้อแรกมีว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่… เห็นว่าพยานหลักฐานของฝ่ายผู้คัดค้านมีน้ำหนักมากกว่าฝ่ายผู้ร้องข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าที่ผู้ร้องเข้าไปอยู่ในที่ดินพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดิน ดังนั้น แม้ผู้ร้องจะครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเวลาเกิน 10 ปี ผู้ร้องก็หาได้กรรมสิทธิ์ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ไม่ อนึ่งที่ผู้ร้องฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า ผู้ร้องได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา แสดงว่าผู้ร้องเป็นคนยากจนไม่มีเงินหรือทรัพย์สินใดที่จะนำมาเสียค่าฤชาธรรมเนียมได้ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้านจึงหาชอบด้วยกฎหมายไม่นั้นศาลฎีกาเห็นว่า การได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 157 นั้น เป็นคนละเรื่องกับความรับผิดของคู่ความฝ่ายแพ้คดีที่จะต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 161 ดังนั้น แม้ผู้ร้องจะได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาแล้ว แต่เมื่อผู้ร้องเป็นฝ่ายที่แพ้คดี ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้านได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องขอของผู้ร้องและให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้านมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนผู้คัดค้านทั้งสอง 3,000 บาท.

Share