คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 876/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นบริวารจำเลย เมื่อไม่สามารถแสดงอำนาจพิเศษให้ศาลเห็นได้ คำพิพากษาก็ต้อง บังคับถึง ผู้ร้องด้วย ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142(1).

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากเดิมศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินพิพาทห้ามเกี่ยวข้องกับให้ชำระค่าเสียหาย โจทก์ยื่นคำร้องจำเลยปฏิบัติตามสัญญา แต่ผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยไม่ยอมออก ศาลชั้นต้นหมายเรียกผู้ร้องมาพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องออกไปจากห้องพิพาท ผู้ร้องอุทธรณ์ฎีกา ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืน ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ไต่สวน และสั่งเพิกถอนคำบังคับ และหมายบังคับคดี อ้างว่าผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลย
ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า คดีหมายเลขแดงที่ 15360/2522 นั้นศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า นางอุรา คงคาเขตรผู้ร้องสอด มีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในที่ดินโฉนดเลขที่ 2843 และ3844 แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร และไม่เกี่ยวกับการขายฝากระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดี จึงไม่ถูกผูกพันหรือถูกบังคับตามคำพิพากษาคดีนี้ ผู้ร้องในฐานะบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องสอดและในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ร้องสอดผู้มรณะ จึงไม่ผูกพันตามคำพิพากษาดังกล่าวด้วย ทั้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวก็ระบุชัดว่าผู้ร้องสอดมิใช่ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ผู้ร้องสอดและผู้ร้องจึงมิใช่บริวารของจำเลย ขอให้ศาลไต่สวนและสั่งเพิกถอนคำบังคับและหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่า ปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4787/2528 ว่าผู้ร้องมีฐานะเป็นบริวารของจำเลย ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นผู้รับมรดกความของนางอุรา คงคาเขตรผู้ร้องสอดจึงมีอำนาจพิเศษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขแดงที่ 1113/2529 นั้น ปรากฏว่าในคดีดังกล่าวเป็นเรื่องฟ้องขอใส่ชื่อร่วมในที่พิพาทเท่านั้น มิได้พิพาทกันเกี่ยวกับฐานะทางครอบครัวหรือบริวารแต่อย่างใด เมื่อศาลฎีกาพิพากษาว่าผู้ร้องเป็นบริวารจำเลยแล้ว ผู้ร้องและผู้ร้องสอดก็ต้องปฏิบัติตามคำบังคับและหมายบังคับคดีของศาล จึงให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขแดงที่ 1113/2529 ระหว่างนางอุรา คงคาเขตร โจทก์นายพิเศษ คงคาเขตร จำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในโฉนดเลขที่3843, 3844 ด้วย (ที่ดินพิพาทในคดีนี้) นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้ในคดีเดียวกันนี้ด้วยว่า โจทก์จำเลยมิได้เป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในประเด็นข้อนี้ด้วย ผู้ร้องจึงมิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยคดีนี้ผู้ร้องจึงมิใช่บริวารของจำเลย เห็นว่า ในปัญหาว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่นั้น ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในคดีนี้มาแล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ 4787/2528 ว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยและแม้ผู้ร้องจะเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้ร้องสอดซึ่งมรณะในคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ในขณะนั้นดังที่ผู้ร้องอ้างผู้ร้องก็มิได้เป็นคู่ความโดยตรง และประเด็นข้อพิพาทก็ต่างกันกับคดีนี้ แม้เมื่อศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาดังกล่าวในคดีนี้แล้ว ต่อมาภายหลังศาลอุทธรณ์จะได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 1113/2529(คดีหมายเลขแดงที่ 15360/2522 ของศาลชั้นต้นตามที่ผู้ร้องอ้าง)ให้ลงชื่อโจทก์คือผู้ร้องสอดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินพิพาทกันในคดีนี้ทั้งสองแปลง และคดีถึงที่สุดแล้วก็ตามก็หามีผลเปลี่ยนแปลงฐานะในคดีของผู้ร้องซึ่งเป็นเพียงผู้รับมรดกความและผู้จัดการมรดกของผู้ร้องสอดผู้มรณะในคดีนั้นให้พ้นจากฐานะบริวารจำเลยในคดีนี้ไม่จึงยังต้องถือว่าผู้ร้องเป็นบริวาร จำเลยที่ไม่สามารถแสดงอำนาจพิเศษให้ศาลเห็นได้ดังที่ศาลฎีกาวินิจฉัยมาแล้ว คำพิพากษาคดีนี้จึงบังคับถึงผู้ร้องด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน.

Share